Logo

บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2024 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 800

     ในถิ่นเนรเทศที่กรุงบาบิโลน พระเจ้าตรัสผ่านประกาศกเยเรมีย์ดังที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งว่า “ดูซิ วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์...เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา”
     และในบทอ่านที่สองจากจดหมายถึงชาวฮีบรู เราทราบว่า พันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้นี้สำเร็จลุล่วงไปแล้วโดยพระเยซูเจ้าซึ่ง “แม้จะทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์” พูดง่ายๆ ก็คือ ความนอบน้อมเชื่อฟังของพระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อพระบิดาจนกระทั่งยอมตายบนไม้กางเขนนี่แหละ ที่ทำให้พันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ผ่านทางประกาศกเยเรมีย์สำเร็จเป็นจริง
     พระเยซูเจ้าเองก็ทรงยืนยันระหว่างอาหารค่ำครั้งสุดท้ายว่าพันธสัญญาใหม่นี้สำเร็จแล้ว และมีผลแล้ว ซึ่งเราก็ได้ยินระหว่างบูชามิสซาเวลาพระสงฆ์เสกศีลทุกครั้งว่า
รับ ถ้วย นี้ ไป ดื่ม ให้ ทั่ว กัน
นี่ เป็น ถ้วย โลหิต ของ เรา
โลหิต แห่ง พันธสัญญาใหม่ อัน ยืน ยง
โลหิต ซึ่ง จะ หลั่ง ออก เพื่อ อภัย บาป
สำหรับ ท่าน และ มนุษย์ ทั้งหลาย
จง ทำ การ นี้ เพื่อ ระลึก ถึง เรา เถิด
     ถามว่า “โลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่” นี้ได้มาง่ายๆ เลยหรือ ? คำตอบคือ ไม่ง่ายเลย !!
ในพระวรสารวันนี้ แม้พระองค์จะปฏิเสธชาวกรีกที่ต้องการชักชวนพระองค์ให้หนีไปอยู่ประเทศกรีก ซึ่งมีอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็นและในการนับถือศาสนามากกว่า ด้วยการตอบพวกเขาว่า “เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว” ทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีกเพียง 2-3 วัน พระองค์ก็จะถูกจับกุมและถูกตรึงตายบนไม้กางเขน
     แปลว่า พระองค์ไม่หนีเพราะทรงเห็นว่าพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์อยู่ที่การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนี่แหละ เพราะถ้าพระองค์ไม่สิ้นพระชนม์ พระองค์ก็จะไม่ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แห่งการกลับคืนพระชนมชีพ และการเสด็จสู่สวรรค์เพื่อประทับ ณ เบื้องขวาของพระบิดาเจ้า
     แต่ดังที่บอกแล้วว่าเพื่อจะได้โลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่นี้ไม่ง่ายเลย เพราะพระเยซูเจ้าเองก็ทรงกลัวและพยายามจะหลีกหนีกางเขนนี้เช่นกัน วันนี้เราจึงได้ยินพระองค์วอนขอพระบิดาเจ้าว่า “บัดนี้ ใจของเราหวั่นไหว... ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้” หรือที่พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาในสวนเกทเสมนีว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ โปรดทรงนำถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด แต่อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (ลก 22:42)
     แน่นอน ไม่มีใครอยากตายขณะอายุเพียง 33 ปี ยิ่งเป็นความตายบนไม้กางเขนซึ่งน่าสะพรึงกลัวสุดขีดด้วยแล้วยิ่งไม่มีผู้ใดต้องการ พระเยซูเจ้าเองก็กลัวและไม่ต้องการตายเหมือนคนอื่นๆ
     และเพราะกลัวนี่เอง คุณค่าแห่งความนบนอบเชื่อฟังที่พระองค์ทรงมีต่อพระบิดาจึงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง หากพระองค์นบนอบได้ง่ายๆ ความนบนอบนั้นจะมีคุณค่าสักแค่ไหนกัน
     เพราะ “ความกล้าหาญ” ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ “ไม่กลัว” แต่อยู่ที่ แม้กลัวจนตัวสั่นก็ยัง “ทำในสิ่งที่ควรทำ” นั่นคือทรงนบนอบพระบิดาจนกระทั่งยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
     ทั้งนี้ก็เพื่อพิสูจน์ถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรามนุษย์ทั้งโลก ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16)
     และก็เป็นความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราจนถึงขั้นยอมตายเพื่อเรานี่แหละ ที่ได้รับการจารึกไว้ในจิตใจของเราและทำให้เราทุกคนรู้จักพระองค์ และกลายเป็นประชากรใหม่ของพระองค์ตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ผ่านทางประกาศกเยเรมีย์
     พี่น้องครับ พระเจ้าเคยทำพันธสัญญากับชาวยิวมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่พระองค์ก็จำต้องตรัสด้วยความเศร้าพระทัยอย่างยิ่งดังที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งว่า “เมื่อเราจูงมือเขาให้ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เขาได้ละเมิดพันธสัญญานั้น แม้ว่าเราเป็นเจ้านายของเขา”
     พี่น้องครับ วันนี้เราคงไม่ทำให้พระองค์ต้องเศร้าพระทัยซ้ำอีกนะ ในเมื่อพระองค์ทรงทำพันธสัญญาใหม่กับเรา ไม่ใช่อาศัยเลือดของลูกแกะเหมือนในพันธสัญญาเก่า แต่อาศัยโลหิตและชีวิตของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์เอง ก็ขอให้เราตอบรับพันธสัญญาใหม่นี้ ด้วยการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างและคำสั่งสอนของพระองค์ นั่นคือให้เรา พร้อมจะสละชีวิตของตนเพื่อรับใช้พระองค์ พระองค์ตรัสว่า
      “ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ย่อมจะรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร ผู้ใดรับใช้เรา ผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา”
     พี่น้องครับ ที่ผ่านมาบุคคลซึ่งโลกจดจำและระลึกถึงด้วยความรักล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่อุทิศตนรับใช้ผู้อื่น แต่น่าเสียดายที่โลกยุคใหม่กลับรู้จักการรับใช้น้อยลงทุกที สิ่งที่คนยุคนี้สนใจคือผลประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งแม้จะช่วยให้เขาร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านแสนล้านได้ แต่ใครล่ะจะรักเขาจริง ?
     มีก็แต่พระเยซูเจ้านี่แหละที่รักเราจริง และก็มีแต่พระองค์เท่านั้นที่สามารถนำ “ความมั่งคั่งและเกียรติยิ่งใหญ่” แท้จริงมาสู่ชีวิตวิญญาณของเราได้ เพราะเป็นพระบิดาเจ้าเองที่จะประทานเกียรตินี้แก่เรา ดังที่พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา” (ยน 12:26)
     จึงควรค่าอย่างยิ่งที่เราจะอุทิศชีวิตของเราเพื่อรับใช้พระองค์
     เพราะฉะนั้นในบูชามิสซานี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้า โปรดให้เราเต็มใจนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์ พร้อมที่จะตายต่อตนเอง พร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ เพื่อพระบิดาเจ้าจะได้ประทานเกียรติยิ่งใหญ่และความรอดพ้นแก่เราทุกคน