Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2023 สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 708

     พระวรสารวันนี้เป็นอุปมาเกี่ยวกับหญิงสาวสิบคน ห้าคนเป็นคนฉลาด อีกห้าคนเป็นคนโง่
ก่อนที่หญิงโง่จะเอ่ยปากขอน้ำมันจากหญิงฉลาด บางทีพวกนางอาจจะคุยกันอย่างนี้ก็ได้
หญิงฉลาดเอ่ยขึ้นก่อน “เธอคิดว่าเราต้องเตรียมน้ำมันตะเกียงเผื่อไว้มั้ย?”
หญิงโง่ตอบว่า “เตรียมไปทำไม ก็กำหนดการแจ้งว่าเจ้าบ่าวจะมาตั้งแต่หัวค่ำไม่ใช่รึ”
หญิงฉลาดพูดว่า “แล้วถ้าเจ้าบ่าวมาช้าล่ะ เราจะมีน้ำมันไม่พอสำหรับคืนนี้นะ”
     หญิงโง่เริ่มขึ้นเสียง “ไม่เอาน่า ทำไมเธอถึงมองโลกแง่ร้ายอย่างนี้นะ ทำไมถึงชอบทำเรื่องให้มันยุ่งยากซับซ้อนด้วยล่ะ เธออยากให้เราหิ้วน้ำมันมาเผื่อไว้ทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสจะใช้มันรึงัย? ทำไมเธอไม่รู้จักมองโลกในแง่ดีบ้างล่ะ?”
พี่น้องก็ทราบเรื่องราวที่เหลือจากพระวรสารวันนี้ใช่ไหม เจ้าบ่าวมาช้า และเพื่อนเจ้าสาวที่เตรียมน้ำมันสำรองเผื่อไว้ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเธอคิดถูก พวกเธอฉลาด พวกเธอมีปรีชาญาณ ปรีชาญาณในที่นี้ไม่ได้เกี่ยวกับสติปัญญาหรือไอคิวของเรา แต่บทอ่านที่หนึ่งวันนี้บอกว่า ปรีชาญาณคือความรอบรู้อย่างสมบูรณ์ที่ทำให้เราพ้นจากความกังวล นั่นคือ เราต้องเรียนรู้ที่จะเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเผื่อไว้หากเกิดกรณีเลวร้ายขึ้นมา ทั้งๆ ที่เราหวังในสิ่งที่ดีที่สุดก็ตาม แล้วเราจะรอดพ้นจากความกังวล
พูดง่ายๆ ก็คือเราต้องหวังในสิ่งที่ดีที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หญิงโง่ได้แต่หวังในสิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่ได้เตรียมตัวเผื่อไว้สำหรับกรณีเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
เพื่อจะเข้าใจอุปมาเรื่องหญิงฉลาดกับหญิงโง่ได้ดียิ่งขึ้น ควรที่เราจะเรียนรู้ธรรมเนียมการแต่งงานของชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้า
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวพร้อมกับเพื่อนเจ้าบ่าวจะมารับเจ้าสาวไปจากบ้านของเธอ พิธีส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเวลากลางคืน บรรดาเพื่อนเจ้าสาวจึงมักจะมาถึงบ้านของเจ้าสาวหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว แล้วก็เฝ้ารอเจ้าบ่าวพร้อมกับเจ้าสาว เมื่อเจ้าบ่าวมาถึง เพื่อนเจ้าสาวก็จะร่วมเดินทางกับเจ้าสาวไปที่บ้านของเจ้าบ่าวด้วย แล้วงานเลี้ยงฉลองก็จะจัดขึ้นที่นี่ พวกเขาต้องถือตะเกียงจุดไฟไปด้วยเพราะมันมืด
     ในอุปมาวันนี้ เจ้าบ่าวมาช้า มัทธิวบอกว่ากว่าจะมาถึงก็เที่ยงคืน ผลปรากฏว่าน้ำมันของหญิงโง่หมด พวกนางจึงพากันไปหาซื้อในหมู่บ้าน ระหว่างนี้ขบวนเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็เคลื่อนออกไปแล้ว เมื่อพวกนางหาน้ำมันได้และมาถึงบ้านของเจ้าบ่าว ถึงตอนนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มไปแล้วและประตูบ้านก็ปิดลง พวกนางคงต้องช็อคแน่เมื่อร้องว่า “นายเจ้าขา นายเจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย” แล้วได้ยินเสียงเจ้าบ่าวตอบว่า “เราไม่รู้จักท่าน”
อุปมาเรื่องนี้พบในพระวรสารของนักบุญมัทธิวเพียงเล่มเดียว เหตุผลที่ทำให้มัทธิวเพิ่มอุปมาเรื่องนี้เข้ามาในพระวรสารของท่านก็เพราะคริสตชนยุคเริ่มแรกอย่างเช่นชาวเมืองเธสะโลนิกาที่เราได้ฟังในบทอ่านที่สองวันนี้ พวกเขาพากันคาดหวังว่าพระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาโดยเร็ว คือสิ้นพิภพเร็ว แต่เมื่อพระองค์มาช้า พวกเขาเริ่มกังวลว่าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา ผู้ที่ตายไปแล้วจะเสียเปรียบผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ นักบุญเปาโลจึงต้องปลอบใจพวกเขาว่า “ผู้ที่ยังมีชีวิตจนถึงวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จมา จะไม่ได้เปรียบบรรดาผู้ที่ตายไปแล้ว เพราะผู้ที่ตายไปแล้วในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน จากนั้นทุกคนจะถูกรับขึ้นไปอยู่กับพระเจ้าตลอดไป”
     จึงเป็นไปได้ว่ามัทธิวเพิ่มอุปมาเรื่องนี้เข้ามาก็เพื่อจะเตือนคริสตชนยุคเริ่มแรกซึ่งคาดหวังว่าพระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาโดยเร็ว มัทธิวต้องการบอกว่าการเสด็จกลับมาของพระเยซูเจ้าหรือวันสิ้นพิภพอาจจะเลื่อนออกไปเกินกว่าที่พวกเขาคาดหวังไว้ เพราะฉะนั้น พวกเขาควรต้องเตรียมพร้อมสำหรับการรอคอยที่ยาวนานด้วยการเตรียมน้ำมันให้พอเพียงสำหรับตะเกียงของพวกเขา
     เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการสอนเรา เราควรรู้รายละเอียดในอุปมาเรื่องนี้ เจ้าบ่าวหมายถึงพระเยซูเจ้า เจ้าสาวหมายถึงพระศาสนจักร (วว 22:17) เพื่อนเจ้าสาวทั้งสิบคนก็คือบรรดาสมาชิกทั้งหมดของพระศาสนจักร ตะเกียงซึ่งเพื่อนเจ้าสาวมีด้วยกันทุกคนก็คือความเชื่อซึ่งเราคริสตชนก็มีด้วยกันทุกคน น้ำมันซึ่งบางคนก็มีบางคนก็ไม่มีนั้นหมายถึงกิจการดีทั้งหลายทั้งปวง ตะเกียงที่ขาดน้ำมันก็คือความเชื่อที่ขาดกิจการดี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ตายไปแล้วและไม่มีประโยชน์
สิ่งที่มัทธิวต้องการบอกคริสตชนในยุคเริ่มแรกนั้นยังคงใช้ได้อย่างดียิ่งกับพวกเราทุกวันนี้ ซึ่งเหลืออีกเพียง 2 อาทิตย์ก็จะสิ้นปีพิธีกรรม ปีA เรายิ่งใกล้สิ้นปีพิธีกรรมมากเท่าใด พระศาสนจักรก็ยิ่งเชิญชวนเราให้คิดถึงบั้นปลายชีวิตของเรา คิดถึงวาระสุดท้ายของเราและของโลกใบนี้ด้วย
     การเตรียมตัวสำหรับวาระสุดท้ายนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องดำเนินชีวิตอยู่ในความกลัว อยู่ในความกระวนกระวาย หรือมัวแต่คิดคำนวณว่าจะสิ้นพิภพเมื่อใด เพราะไม่มีใครรู้ “แม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว” (มธ 24:36)
     ในเมื่อไม่มีผู้ใดล่วงรู้กำหนดเวลา นอกจากพระบิดา เราจึงต้องเดินตามแบบอย่างของหญิงฉลาด หญิงฉลาดเตรียมน้ำมันไว้พอสำหรับจุดตะเกียงฉันใด เราก็ควรจะอดทนและมุ่งมั่นตั้งใจทำกิจการดีต่างๆ เพื่อทำให้ความเชื่อของเราเป็นความเชื่อที่มีชีวิต เป็นความเชื่อที่ลุกโชติช่วงฉันนั้น นี่คือการเตรียมตัวต้อนรับพระเยซูเจ้าที่ดีที่สุดไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาเวลาใดก็ตาม
ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดทวีความเชื่อและกิจการดีในตัวเรา เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับหญิงฉลาด ที่พร้อมจะต้อนรับพระองค์ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาหาเราหรือเราจะจากโลกนี้ไปปรากฏตัวต่อหน้าพระองค์เมื่อใดก็ตาม