พี่น้องครับ วันนี้เปโตร ยากอบ และยอห์นได้รับพระพรพิเศษจริงๆ ท่านทั้งสามได้เห็นพระเยซูเจ้าประจักษ์พระวรกายอย่างรุ่งโรจน์ เป็นการชิมลางความรุ่งโรจน์แห่งการกลับคืนพระชนมชีพและการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ และยังเป็นการชิมลางแห่งความรุ่งโรจน์ที่พวกเราทุกคนหวังจะมีส่วนร่วมสักวันหนึ่งในสวรรค์ด้วย
อันที่จริง ทั้งเปโตร ยากอบ และยอห์นต่างก็ได้รับพระพรพิเศษจากพระเยซูเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว คราวที่พระองค์เสด็จไปปลุกบุตรหญิงของไยรัสให้กลับคืนชีพ พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เฉพาะสามคนนี้เท่านั้นที่สามารถติดตามพระองค์เข้าไปในบ้านของไยรัสซึ่งเป็นหัวหน้าศาลาธรรมได้ (มก 5:37) และในสวนเกทเสมนี ก็เป็นสามคนนี้อีกนั่นแหละที่ได้อยู่ใกล้ชิดและได้รับฟังพระองค์ระบายความรู้สึกในใจว่า “ใจเราเป็นทุกข์แทบสิ้นชีวิต จงอยู่ที่นี่และตื่นเฝ้าเถิด” (มก 5:33)
หากจะถามว่าพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์พระวรกายอย่างรุ่งโรจน์ต่อหน้าอัครสาวกทั้งสามคนนี้ทำไม? เราก็ต้องย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้นิดหนึ่ง ก่อนพระองค์จะทรงประจักษ์พระวรกาย พระองค์ทรงบอกพวกศิษย์ว่า “พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะ และธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวิต แต่จะทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม” (มธ 16:21) ผลที่ตามมาก็คือเปโตรนำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน” จนพระองค์ต้องหันมาดุว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” (มธ 16:23)
แน่นอน พวกเขาช็อค ช็อคก็เพราะพวกเขาละทิ้งทุกสิ่ง ทั้งครอบครัว ทั้งอาชีพการงาน ก็เพื่อจะติดตามพระองค์ แล้วอยู่ๆ พระองค์กลับบอกพวกเขาว่าพระองค์จะถูกประหารชีวิต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะต้องได้รับการยืนยันอย่างเร่งด่วนว่าพวกเขาติดตามถูกคนแล้ว และพระเยซูเจ้าก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องรอนาน พระองค์ทรงประจักษ์พระวรกายอย่างรุ่งโรจน์ให้พวกเขาได้เห็นดังที่เราได้ฟังในพระวรสารวันนี้
มัทธิวเล่าว่าโมเสสและประกาศกเอลียาห์ปรากฏมาสนทนากับพระองค์ โมเสสได้รับพระบัญญัติสิบประการจากพระเจ้าบนภูเขาซีนาย ส่วนเอลียาห์เป็นประกาศกผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและถือเป็นตัวแทนของบรรดาประกาศกทั้งมวล จึงเท่ากับว่ามีทั้งพระบัญญัติและประกาศกอยู่บนภูเขากับพระเยซูเจ้า พระบัญญัติกับประกาศกนี้คือชื่อที่ชาวยิวใช้เรียกพระธรรมเก่า พระธรรมเก่าได้กล่าวทำนายถึงพระองค์ไว้มากมายดังตัวอย่างที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งซึ่งคัดมาจากหนังสือประกาศกดาเนียลว่า “อำนาจปกครองของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด” วันนั้นทั้งโมเสสและประกาศกเอลียาห์ สองบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระธรรมเก่า ปรากฏมาก็เพื่อยืนยันว่า พระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอยจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ฟังบทภาวนาของประธานตอนเริ่มมิสซาวันนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงกระทำให้ความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น เมื่อพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ ทรงประจักษ์พระวรกายอย่างรุ่งโรจน์ โดยมีประกาศกเป็นพยานรู้เห็นด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีพระสุรเสียงของพระบิดาตรัสจากก้อนเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” จึงเท่ากับว่าทั้งพระบิดาและทั้งพระธรรมเก่าต่างก็ยืนยันว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือพระผู้ช่วยให้รอดที่พวกเขาทั้งสามคนคาดหวังและเฝ้าคอยจริงๆ แม้พระองค์พึ่งจะทำให้พวกเขาช็อค ด้วยการบอกว่าพระองค์จะต้องถูกทรมานและสิ้นพระชนม์ก็ตาม แต่ทั้งหมดนั่นก็รวมอยู่ในแผนการณ์ที่พระบิดาทรงเตรียมไว้สำหรับพระเยซูเจ้าทั้งนั้น
และเมื่อพระบิดาตรัสว่า “จงฟังท่านเถิด” ก็เท่ากับพระองค์ต้องการจะบอกพวกเขาว่า “จงอย่ารู้สึกสะดุดใจ หรือถอดใจกับคำพูดของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับการทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพเลย” ดังที่บทนำขอบพระคุณก่อนที่เราจะขับร้องบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ในมิสซาวันนี้กล่าวว่า “พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เพื่อบรรดาศิษย์จะได้ไม่รู้สึกสะดุดใจ ในวาระที่พระองค์จะต้องรับทรมาน ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน”
แล้วพี่น้องคิดว่าพวกเขาทั้งสามคนฟังพระเยซูเจ้าไหม? พวกเขายืนหยัดอยู่เคียงข้างพระองค์ขณะที่พระองค์ทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์ไหม?
เราทุกคนต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี เปโตรปฏิเสธพระเยซูเจ้าที่ลานหน้าบ้านมหาสมณะ 3 ครั้งด้วยกัน ยากอบละทิ้งพระองค์เหมือนกับอัครสาวกคนอื่นๆ มีเพียงยอห์นเท่านั้นที่ฟังพระองค์และไม่รู้สึกสะดุดใจหรือถอดใจกับพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ยอห์นตามพระองค์เข้าไปในบ้านของมหาสมณะขณะที่พวกเขากำลังไต่สวนพระองค์ และยังตามพระองค์ไปจนถึงเชิงกางเขนบนเนินเขากัลวารีโอพร้อมกับสตรีคนอื่นๆ อีกด้วย
ในช่วงเวลาวิกฤตระหว่างคืนวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์จนถึงการประจักษ์มาครั้งแรกของพระเยซูเจ้าในวันอาทิตย์ปัสกา เปโตรและยากอบไม่ได้ฟังพระเยซูเจ้า พวกเขาละทิ้งพระองค์ มีเพียงยอห์นเท่านั้นที่ยังคงซื่อสัตย์และฟังพระองค์ตลอดเวลาระหว่างพระมหาทรมาน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นอัครสาวกทั้งสามคนก็ได้เป็นพยานยืนยันที่ยิ่งใหญ่ให้กับพระเยซูเจ้า เปโตรเป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกและเป็นพระสังฆราชแห่งกรุงโรม ท่านเขียนจดหมายยืนยันในบทอ่านที่สองของวันนี้ว่า “นี่ไม่ใช่นิยายงมงายที่สร้างขึ้น แต่เราประจักษ์ด้วยตาตนเองถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์” ยากอบถูกตัดศีรษะในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อเป็นพยานยืนยันให้กับพระองค์ (กจ 12:2) ส่วนยอห์นก็ได้เขียนพระวรสารฉบับที่สี่ ซึ่งเราเรียกว่าพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น
เป็นอันว่าอัครสาวกทั้งสามคนฟังพระเยซูเจ้า แม้ว่าจะมีสองคนที่ไม่ได้ฟังพระองค์ระหว่างพระมหาทรมานก็ตาม
เราอาจรู้สึกผิดหวังที่เปโตรและยากอบไม่ฟังพระเยซูเจ้า ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยเฉพาะในยามที่พระองค์ต้องการพวกเขามากที่สุด เขาทั้งสองคนมีโอกาสได้เห็นพระองค์ประจักษ์พระวรกายอย่างรุ่งโรจน์ ได้ยินพระบิดาตรัสสั่งว่าให้ฟังพระเยซูเจ้า แถมยังเป็นคนวงในใกล้ชิดพระองค์มากกว่าอัครสาวกองค์อื่นๆ เสียอีก
แต่พี่น้องครับ ทำไมเราจะต้องไปรู้สึกผิดหวังกับท่านทั้งสองล่ะ ในเมื่อเราเองก็เคยมีประสบการณ์กับพระองค์ มีโอกาสได้พบกับพระองค์มากมายหลากหลายหนทางด้วยกัน เช่น ในศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นเวลาที่เราได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากที่สุด หรือเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ พระคัมภีร์นี่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูเจ้าเท่านั้นนะ แต่เป็นพระเยซูเจ้าเองที่กำลังพูดกับเรา พูดเกี่ยวกับชีวิตของเรา นอกจากนั้น เรายังพบกับพระองค์ได้ในศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกด้วย
แล้วเป็นไงล่ะ หลายครั้งเราเองก็ไม่ฟังพระองค์เหมือนกันใช่ไหมล่ะ !
แต่อย่างที่เปโตรและยากอบประสบมาแล้วนะครับว่า เมื่อพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์มิได้ทรงถือโทษท่านทั้งสอง แต่ทรงให้อภัยและให้โอกาสท่านทั้งสองได้กลับคืนดีกับพระองค์ เราก็ต้องกลับมาคืนดีกับพระองค์อาศัยศีลอภัยบาปเช่นกัน เพราะหลายครั้งเราก็ไม่ได้ฟังพระองค์ เราปฏิเสธพระองค์ ไม่ใช่ในลานหน้าบ้านมหาสมณะที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่อาจจะเป็นในบ้านของเราเองกับครอบครัวของเราเอง หรืออาจจะเป็นในที่ทำงาน ในกลุ่ม หรือในชุมชนวัดของเรานี่เอง
พี่น้องครับ เราไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ความอ่อนแอและบาปมาครอบงำเราอยู่ตลอดไปนะครับ กลับมาหาพระองค์เถอะครับ มาคืนดีกับพระองค์ มาให้พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรสุดที่รักของพระบิดาชำระเราให้บริสุทธิ์ เพราะพระองค์คือพระเมสสิยาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอดพ้นของเราจริงๆ
พี่น้องครับ เมื่อพระบิดาตรัสสั่งว่า “จงฟังท่านเถิด” ยอห์นคือศิษย์ตัวอย่างที่เราจะต้องเลียนแบบท่าน ท่านซื่อสัตย์ต่อพระองค์จนถึงที่สุด
เปโตรกับยากอบอาจจะไม่ได้ฟังพระองค์ชั่วขณะหนึ่ง เราบางครั้งบางคราวก็ไม่ได้ฟังพระองค์เหมือนกัน แต่ทั้งเปโตร ยากอบ และยอห์น ต่างก็เป็นพยานยืนยันที่ยิ่งใหญ่ให้กับพระเยซูเจ้า เราทุกคนก็สามารถดำเนินชีวิตเป็นพยานยืนยันที่ยิ่งใหญ่ให้กับพระองค์ได้เช่นเดียวกัน ด้วยการไม่รู้สึกสะดุดใจหรือถอดใจเมื่อต้องเจอกับกางเขน หรือเจอกับปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต แต่ยังคงซื่อสัตย์ และติดตามพระองค์จนถึงที่สุด ตามแบบอย่างของนักบุญยอห์น อัครสาวก องค์อุปถัมภ์ของวัดของเรา