Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2023 สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 377

     วันนี้ ประเด็นหลักที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราก็คือ อย่ากลัว พระองค์ตรัสว่า “อย่ากลัว” ถึง 3 ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกพระองค์บอก อย่ากลัวเพราะ “ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย”
     ในอดีตมีคริสตชนจำนวนมากที่เสียสละ ทนทุกข์ หรือยอมตายในสถานที่ไม่เปิดเผย แต่วันนี้ประวัติศาสตร์ได้รับรู้และบันทึกไว้แล้วว่าใครคือผู้กดขี่และใครคือนักบุญ บัดนี้ทุกคนต่างได้รับการตอบแทนตามการกระทำของตนแล้ว
นี่คือข้อพิสูจน์ว่าคำสอนของพระเยซูเจ้าเป็นความจริงเสมอ เพราะถึงคนจะตายไปนานแล้ว แต่ “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” และจะถูกเปิดเผยในที่สุด
ในเมื่ออย่างไรเสียความจริงก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ พระองค์จึงตรัสสั่งว่า “สิ่งที่เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน” (มธ 10:27)
     นั่นคือ ไม่ว่าพระเยซูเจ้าจะบอกหรือจะกระซิบอะไรที่หูของเรา เราต้องประกาศสิ่งที่ได้ยิน เราต้องประกาศข่าวดีที่ได้รับด้วยความกล้าหาญ และเพื่อจะทำเช่นนี้ได้ เราจำเป็นต้อง
     ประการแรก ฟัง เราจะสอนผู้อื่นให้ว่ายน้ำได้อย่างไรหากตัวเราเองยังว่ายน้ำไม่เป็น เช่นเดียวกันเราจะประกาศข่าวดีให้แก่ผู้อื่นได้อย่างไรหากตัวเราเองยังไม่ได้รับข่าวดี ภาษิตละตินจึงกล่าวไว้ว่า Nemo dat quod non habet - ไม่มีใครสามารถให้ในสิ่งที่ตนเองไม่มี
     เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องปลีกตัวจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวันเพื่อจะได้อยู่ตามลำพังกับพระเยซูเจ้า เผื่อว่าในยามที่ชีวิตของเรามืดมนพระองค์จะพูดกับเรา หรือในยามที่เราโดดเดี่ยวอ้างว้างพระองค์จะกระซิบกับเรา หาไม่แล้วเราจะเอาความจริงอะไรไปประกาศแก่ผู้อื่น
     ประการที่สอง พูด เราต้องพูดสิ่งที่ได้ยินจากพระเยซูเจ้า แม้ว่าการพูดนั้นจะทำให้คนอื่นเกลียดชังเราหรืออาจทำให้เราตกอยู่ในอันตรายก็ตาม ดังตัวอย่างของประกาศกเยเรมีย์ในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ ทั้งชาวยิวและมิตรสหายต่างพากันซุบซิบนินทา ต่างพากันเกลียดชังและสาปแช่งท่าน แต่ท่านก็ยังประกาศข่าวดีของพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว ท่านบอกประชาชนว่าพระเจ้าทรงอยู่ข้างท่านเหมือนนักรบทรงพลัง และท่านยังกำชับประชาชนให้ร้องเพลงถวายพระเจ้าและสรรเสริญพระองค์อยู่เสมออีกด้วย
     เห็นตัวอย่างของประกาศกเยเรมีย์เช่นนี้แล้ว เราคริสตชนจึงต้องไม่กลัวที่จะประกาศข่าวดี เพราะการตัดสินของพระเจ้าอยู่เหนือการตัดสินและอยู่เหนือคำพูดของมนุษย์ พระองค์จะทำให้ “ความจริงเปิดเผยและได้รับชัยชนะ” ในที่สุด
     ครั้งที่สอง พระองค์ตรัสว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย”
     นักบุญเปาโลบอกในบทอ่านที่สองว่า “ความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น”
แปลว่าอย่างไรเสียทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้วเพราะทุกคนต่างก็ทำบาป !
     และถ้ามนุษย์จะลงโทษเรา โทษสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะหยิบยื่นให้แก่เราได้ก็คือความตายฝ่ายกายเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งว่า “จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก” และผู้ที่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ก็คือพระเจ้า
หากฟังเผินๆ ดูเหมือนพระเจ้าจะน่ากลัวมากกว่ามนุษย์เสียอีก !
     เพื่อจะเข้าใจคำสอนของพระเยซูเจ้า เราต้องหันไปดูความคิดของชาวยิว ชาวยิวสอนว่า “ที่ใดมีความรักก็ไม่มีความกลัว และที่ใดมีความกลัวก็ไม่มีความรัก ยกเว้นเรื่องความสัมพันธ์กับพระเจ้า”
พูดง่ายๆ ก็คือ ความรักกับความกลัวไปด้วยกันไม่ได้ ยกเว้นเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าที่ต้องมี “ทั้งความรักและความกลัว” ควบคู่กัน
     นั่นคือ เพราะรักเราจึงกลัวว่าจะทำให้พระองค์เสียพระทัยหากเราปฏิเสธความรักของพระองค์ด้วยการทำบาป
     เราเรียกความรักและความกลัวที่จะทำให้พระเจ้าเสียพระทัยนี้ว่า “ความเคารพยำเกรงพระเจ้า” ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับ “ความกลัวตกนรก”
คำสอนของพระเยซูเจ้าจึงแปลความได้ว่า “อย่ากลัวมนุษย์ผู้ฆ่าได้แต่กาย แต่จงเคารพยำเกรงพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักเราและเราก็รักพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ยังทรงมีอำนาจเหนือชีวิตและเหนือความตายชั่วนิรันดรของเราอีกด้วย”
     ครั้งที่สาม พระเยซูเจ้าตรัสว่า อย่ากลัวเพราะ “ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก”
มัทธิวเล่าว่า “นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ” ส่วนลูกาเล่าแตกต่างออกไปคือ “นกกระจอกห้าตัวราคาขายสองบาทมิใช่หรือ” (ลก 12:6)
ความแตกต่างนี้มิใช่เรื่องแปลกเพราะถ้าซื้อนกสองบาทคนขายย่อมแถมให้อีกหนึ่งตัว แต่ที่แปลกก็คือนกตัวที่ได้รับเป็นของแถมซึ่งชาวยิวถือว่าไม่มีราคาและไร้ค่านั้น กลับมีค่าอย่างยิ่งสำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ”
     คำว่า “ตก” ในภาษากรีก (piptō) ไม่ได้หมายถึงตกลงมาตายลูกเดียว แต่ยังหมายถึงร่อนลงสู่พื้นโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย และคำว่า “ไม่ทรงเห็นชอบ” ในภาษากรีก (áneu) ก็ยังแปลว่า “ไม่ทรงทราบ” อีกด้วย
     ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่า พระเจ้าทรงรับทราบและทรงเอาพระทัยใส่ในนกกระจอกทุกตัวแม้ในตัวที่มนุษย์เห็นว่าไร้ค่า ทั้งนี้มิใช่เฉพาะช่วงเวลาสำคัญอย่างเช่นวินาทีแห่งความเป็นความตายเท่านั้น แต่ทรงสนพระทัยในรายละเอียดทุกขณะจิต ทั้งขณะบินขึ้น ร่อนลง หรือแม้แต่เวลากระโดดโลดเต้นอยู่บนพื้นก็ตาม
     พี่น้องครับ ในเมื่อนกพระองค์ยังเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้นเราจงอย่ากลัวที่จะประกาศข่าวดีของพระเจ้า จงอย่ากลัวที่จะเคารพยำเกรงพระเจ้า และจงอย่ากลัวปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ในชีวิต เพราะเรามีค่ามากกว่านกกระจอกมากนัก พระเจ้าไม่มีวันทอดทิ้งเรา และที่สำคัญหากเราไม่ทอดทิ้งพระองค์ ไม่ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้ามนุษย์ พระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธเราต่อหน้าพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ด้วยเช่นเดียวกัน