เด็กห้าขวบคนหนึ่งอยู่ในครัวกับแม่ซึ่งกำลังเตรียมอาหารเย็น แม่บอกเด็กให้ไปเอาซุปมะเขือเทศในห้องใต้ดินมาให้กระป๋องหนึ่ง เด็กตอบแม่ว่า “แม่ ห้องใต้ดินมืด ผมกลัว” แม่พยายามอธิบายว่าห้องใต้ดินปลอดภัย ลงไปคนเดียวก็ได้ แต่อธิบายอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ที่สุดแม่บอกเด็กว่า “ลูกไม่ต้องห่วงนะ พระเยซูจะอยู่ในห้องใต้ดินกับลูก” เด็กจึงยอมเดินแบบลังเลลงไปห้องใต้ดิน แล้วแอบมองรอดรูกุญแจ เมื่อเห็นห้องมืดก็คิดจะหันหลังกลับ พลันคิดถึงคำของแม่ได้จึงแง้มประตูเล็กน้อยแล้วตะโกนว่า “พระเยซู ถ้าพระองค์อยู่ในห้อง ช่วยหยิบซุปมะเขือเทศให้ผมกระป๋องนึง ได้โปรดเถอะ”
ความกลัวของเด็กก็เหมือนความกลัวของบรรดาศิษย์ในยามที่พระเยซูเจ้ากำลังจะจากพวกเขาไป พวกเขากลัวที่จะเผชิญหน้ากับโลกตามลำพัง
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้ากำลังทำคล้ายกับแม่ของเด็ก นั่นคือพยายามทำให้บรรดาศิษย์มั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องกลัว แม้เมื่อพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่กับพวกเขา
พระองค์ตรัสว่า “ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย” (ยน 14:1ก) เหตุผลที่พระองค์ให้ก็คือ “จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย” (ยน 14:1ข)
ตามต้นฉบับภาษากรีก เราอาจแปลได้ว่า “พวกท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว จงเชื่อในเราด้วย” pisteu,ete eivj to.n qeo.n kai. eivj evme. pisteu,ete (พิสแตวเอเต เป็นได้ทั้ง verb indicative present active 2nd person plural OR verb imperative present active 2nd person plural)
เป็นการง่ายที่เราจะเชื่อในพระเจ้าซึ่งเป็นจิตล้วนและมองไม่เห็น ซึ่งจริงๆ บรรดาอัครสาวกและชาวยิวก็เชื่ออยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องท้าทายมากที่จะเชื่อในการรับเอากายของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยปรีชาญาณ ด้วยความรัก และด้วยฤทธานุภาพ มาเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่อ่อนแอ มีเลือด มีเนื้อเหมือนพวกเรา พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ท่านเชื่อในพระเจ้า (ซึ่งเป็นเรื่องง่าย)แล้ว จงเชื่อในเรามนุษย์ผู้อ่อนแอ (ซึ่งเป็นเรื่องยาก) ด้วย
ถึงจะเป็นเรื่องยากแต่บรรดาศิษย์ก็เชื่อและมองเห็นพระเจ้าในตัวพระเยซูเจ้า แต่ปัญหาคือพวกเขามองไม่เห็นพระเจ้าในตัวพวกศิษย์ด้วยกันเอง พวกเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ขาดตกบกพร่องและอ่อนแอ ส่วนพระเยซูเจ้า พวกเขายกพระองค์ไว้สูงอีกระดับหนึ่ง
แต่น่าสังเกตว่า เพื่อจะทำให้พวกเขาหายกลัว ไม่วิตกกังวล พระเยซูเจ้ากลับยกเหตุผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคิด พระองค์ต้องการบอกพวกเขาว่าถ้าพระเจ้าสามารถทำงานผ่านทางพระองค์ซึ่งมีเลือดมีเนื้อเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ได้ พระเจ้าก็สามารถทำงานผ่านมนุษย์คนใดๆ ก็ได้ ซึ่งเท่ากับว่าพระองค์พยายามวางตัวพระองค์เองให้อยู่ในระดับเดียวกันกับบรรดาศิษย์ เพื่อทำให้พวกเขามั่นใจว่าพระเจ้าสามารถทำงานผ่านทางพวกเขาทั้งๆ ที่พวกเขาล้วนมีข้อบกพร่องตามประสามนุษย์ก็ตาม
และอันที่จริง พระเยซูเจ้าทรงยกบรรดาศิษย์ไว้ในระดับที่เหนือกว่าพระองค์เองเสียอีก พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วย และจะทำกิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก เพราะเรากำลังจะไปเฝ้าพระบิดา” (ยน 14:12)
เพราะฉะนั้น เราต้องไม่สวดภาวนาแบบฟิลิปว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว” หรือสวดว่าโปรดทำให้พวกเราเห็นพระองค์ประทับอยู่กับเราเถิด หรือโปรดทำให้พวกเราเห็นว่าพระองค์ยังไม่ตาย พระองค์ยังทรงทำงานอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกทุกวันนี้
เพราะพระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’” (ยน 14:9) ในเมื่อพระองค์ประทับอยู่ในทุกเหตุการณ์และในทุกวิกฤตผ่านทางมนุษย์ธรรมดาๆ ที่พร้อมจะรับใช้พระองค์นี่เอง
การที่พระเจ้าทรงรับเอากายเป็นมนุษย์ เท่ากับพระองค์ทรงทำให้กำแพงที่แบ่งแยกระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์หมดสิ้นไป จากนี้ไปพระเจ้ากับมนุษย์เกี่ยวพันกันอย่างแยกจากกันไม่ออก พระเจ้าทรงเสี่ยงมากเมื่อตัดสินพระทัยบังเกิดเป็นมนุษย์ การเสี่ยงของพระองค์จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ย่อมขึ้นกับเราแต่ละคน
เมื่อเราเห็นสิ่งต่างๆ ในพระศาสนจักรและในโลกไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น มันจึงไม่ใช่เวลาที่เราจะมานั่งตำหนิพระเจ้าว่าทอดทิ้งเรา เพราะพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเรา พระองค์ยังคงประทับอยู่กับเรา แต่มันเป็นเวลาที่เราควรจะต้องสำรวจตนเองอย่างจริงจังว่า เราพลาดตรงไหนที่มองไม่เห็นพระเจ้า? เราจะได้กลับมาเดินตามหนทางของพระองค์และจะได้มองเห็นพระองค์ในเพื่อนมนุษย์แต่ละคน
เราไม่ควรปล่อยใจของเราให้กังวล เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว บัดนี้ ให้เราเชื่อในมนุษย์ทั้งชายและหญิงซึ่งพระเจ้าทรงสร้างมาตามฉายาของพระองค์ ผู้ทรงเป็นวิหารของพระจิตเจ้า เป็นสมณราชตระกูล และเป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์ด้วย