Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2023 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 917

     พระวรสารวันนี้ต้องการเน้นทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่างกันระหว่างบอดทางกายกับบอดทางใจ ด้านความคล้ายคลึงกันจะเห็นได้จากคริสตชนยุคเริ่มแรกที่เชื่อมโยงบอดทางกายกับบอดทางใจเข้าด้วยกันซึ่งทำให้คนไม่รู้จักและไม่เข้ามาหาพระเยซูเจ้า แต่ในเมื่อพระองค์สามารถรักษาคนที่บอดทางกายได้ก็แปลว่าพระองค์สามารถรักษาคนที่บอดทางใจได้ด้วย
     ส่วนความแตกต่างระหว่างบอดทางกายกับบอดทางใจนั้นปรากฏชัดเจนในตอนท้ายของพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็น ส่วนคนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด” ชาวฟาริสีบางคนที่อยู่ที่นั่นจึงถามพระองค์ว่า “พวกเราก็ตาบอดด้วยใช่ไหม” พระเยซูเจ้าเลยตอบว่า “ถ้าท่านทั้งหลายตาบอดท่านก็ไม่มีบาป แต่ท่านกล่าวว่า ‘เรามองเห็น’ บาปของท่านจึงยังคงอยู่” (ยน 9:39-41)
     ประเด็นก็คือ พวกฟาริสีคิดว่าตาของตนมองเห็น แต่ไม่ยอมรับว่าใจของตนบอด ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนบาป บาปนั้นจึงยังคงอยู่
สิ่งที่พระองค์บอกพวกฟาริสีเมื่อสองพันปีก่อน พระองค์ก็ต้องการบอกพวกเราทุกวันนี้ด้วยว่า ถ้าเราต้องการรู้จักพระองค์ เราก็ต้องยอมรับก่อนว่าเราไม่รู้ ถ้าเราต้องการหายจากบอด เราก็ต้องยอมรับก่อนว่าเราบอด ถ้าเราต้องการได้รับการอภัย เราก็ต้องยอมรับก่อนว่าเราเป็นคนบาป แต่ความเป็นจริงกลับเป็นไปตามที่พระอัครสังฆราช Fulton John Sheen (8 พ.ค. 1895–9 ธ.ค. 1979 ได้รับแต่งตั้งเป็น Venerable ในปี 2012) พูดประชดไว้ว่า ในอดีตเราเชื่อว่าแม่พระแต่เพียงผู้เดียวปฏิสนธินิรมล แต่ทุก     วันนี้ เราทุกคนต่างก็คิดว่าตนเองปฏิสนธินิรมล คือเกิดมาไม่มีบาป
เกี่ยวกับเรื่องราวในพระวรสารวันนี้ พระศาสนจักรตั้งแต่เริ่มแรกถือว่าเกี่ยวข้องกับศีลล้างบาป เพราะคนตาบอดแต่กำเนิดลงไปในสระสิโลอัมแล้วกลับขึ้นมาตาหายบอดฉันใด ผู้ที่มีความเชื่อและรับน้ำแห่งศีลล้างบาปก็กลับขึ้นมาพร้อมกับวิญญาณที่หายบอดฉันนั้น
     อีกเหตุผลหนึ่งที่พระศาสนจักรเลือกบทอ่านนี้มาก็เพื่อเตรียมตัวผู้ที่จะรับศีลล้างบาปในวันปัสกาซึ่งใกล้เข้ามาแล้ว ชายตาบอดแต่กำเนิดผู้นี้เคยนั่งขอทาน แต่เมื่อตาของเขามองเห็นเขากลายเป็นศิษย์ที่ติดตามพระเยซูเจ้าและเป็นพยานประกาศพระองค์อย่างแข็งขัน เขาเริ่มด้วยการบอกเพื่อนบ้านว่าคนที่ชื่อเยซูเป็นผู้รักษาเขาให้หายจากตาบอด ต่อมาเขาบอกพวกฟาริสีว่าพระองค์เป็นประกาศก และที่สุดเขายืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
     จะเห็นว่าประสบการณ์ส่วนตัวของชายตาบอดที่มีกับพระเยซูเจ้ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งเพราะมันนำเขาไปสู่ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ และเมื่อมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ก็นำเขาไปสู่ความเชื่อและการอุทิศตนเป็นพยานประกาศพระองค์ ต่างจากพวกฟาริสีที่รู้จักธรรมบัญญัติและคำสั่งสอนของบรรดาประกาศกเป็นอย่างดีแต่ไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเยซูเจ้า จึงไม่เชื่อและไม่ยอมรับพระองค์
     เพราะฉะนั้น ระหว่างความรู้กับความรัก เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับความรัก คือต้องมีประสบการณ์และความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซูเจ้าก่อน เราจึงจะเข้าใจข้อความเชื่อตลอดจนร่วมพิธีกรรมต่างๆ ได้อย่างมีความหมายลึกซึ้ง และจะทำให้เราผ่านพ้นวิกฤติความเชื่อที่ดำรงอยู่ท่ามกลางเราคริสตชนทุกวันนี้ได้
อนึ่ง เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเยียวยาเราให้หายจากความบอดมืดแล้ว นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สองว่า เราเป็นความสว่างแล้ว จงดำเนินชีวิตเยี่ยงบุตรแห่งความสว่างเถิด
     การดำเนินชีวิตเยี่ยงบุตรแห่งความสว่าง นักบุญเปาโลบอกว่าก็คือการดำเนินชีวิตให้บังเกิดผลเป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง (อฟ 5:9) นอกจากนั้นเรายังต้องไม่เกี่ยวข้องกับกิจการแห่งความมืด ตรงกันข้าม ต้องประณามกิจการเหล่านั้นด้วย (อฟ 5:11)
     สรุปว่า นอกจากต้องทำดีและไม่เกี่ยวข้องกับความชั่วแล้ว เรายังต้องประณามกิจการชั่วร้ายเหล่านั้นด้วย
จริงอยู่ คริสตชนส่วนใหญ่ก็พยายามทำดีหนีชั่วอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะทำตามคำสั่งสอนของนักบุญเปาโลได้ครบ นั่นคือการประณาม การตำหนิ และการต่อสู้กับความชั่วร้ายต่างๆ ส่วนใหญ่เราจะคิดว่าการเปิดโปงและต่อต้านความผิดของผู้อื่นไม่ใช่ธุระของเรา แต่บทอ่านที่สองวันนี้ยืนยันว่านี่เป็นความรับผิดชอบของเราคริสตชนผู้เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย
     พร้อมกันนี้ นักบุญเปโตรก็ได้ให้คำแนะนำในการทำหน้าที่นี้ไว้ว่า “จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและด้วยความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ” (1 ปต 3:16)
     ทุกวันนี้มีความชั่วร้ายมากมายซึ่งกำลังได้รับการยอมรับในสังคมของเรามากขึ้น เช่น การทำแท้ง การแต่งงานกับเพศเดียวกัน ฯลฯ นอกจากเราผู้เป็นบุตรแห่งความสว่างจะต้องละเว้นแล้ว เรายังมีหน้าที่ต้องร่วมกันต่อต้านอีกด้วย
      อีกไม่กี่วันเราก็จะสมโภชการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว ขอให้เราสำนึกว่าเราเป็นคนบาป เรามีจิตใจบอดมืด เพื่อพระองค์จะได้เยียวยารักษาเรา เราจะได้กลับมาเป็นบุตรแห่งความสว่าง คู่ควรกับการสมโภชอันยิ่งใหญ่นี้อีกครั้งหนึ่ง