Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2023 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 323

     ถ้าวันนี้พ่อจะถามพี่น้องว่า อะไรคืออุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดที่ทำให้ศาสนาคริสต์ไม่แพร่หลายในประเทศไทย? พี่น้องคงมีคำตอบหลากหลาย เช่น เป็นเพราะเรามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติอยู่แล้ว หรือขนบธรรมเนียมประเพณีตะวันตกเข้าไม่ได้กับตะวันออก หรือเป็นเพราะคนไทยไม่นับถือศาสนา เป็นพวกวัตถุนิยม ฯลฯ

แต่มีมิชชันนารีคนหนึ่งไปถามคำถามเดียวกันนี้กับมหาตมะ คานธี ว่าอะไรคืออุปสรรคใหญ่หลวงที่ทำให้ศาสนาคริสต์ไม่แพร่หลายในอินเดีย คานธีตอบแบบทันทีทันควันว่า “คริสตชน”

แต่พี่น้องอย่าพึ่งเข้าใจว่า คริสตชนทุกคนเป็นอุปสรรคทำให้ศาสนาคริสต์ไม่แพร่หลาย เฉพาะผู้ที่เป็นคริสตชนแต่ชื่อ ส่วนวิธีคิด วิธีพูด วิธีปฏิบัติของพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเยซูเจ้าเท่านั้นที่เป็นอุปสรรค

เพื่อจะเป็นคริสตชนแท้ วันนี้พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายให้เราเป็นแสงสว่างส่องโลก บางคนอาจแย้งว่าในบทอัลเลลูยาก่อนพระวรสาร พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นแสงสว่างส่องโลก” (ยน 8:12) ตกลงใครต้องเป็นแสงสว่างกันแน่ พระเยซูเจ้าหรือบรรดาคริสตชน?

     เกี่ยวกับประเด็นที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันนี้ พระเยซูเจ้าทรงอธิบายไว้ในพระวรสารโดยนักบุญยอห์นว่า “ตราบที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นแสงสว่างส่องโลก” (ยน 9:5) ก็แปลว่าขณะที่พระเยซูเจ้ายังทรงมีร่างกายและมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างส่องโลก แต่เมื่อพระองค์เสด็จสู่สวรรค์แล้ว บรรดาศิษย์ของพระองค์ซึ่งก็คือเราคริสตชนทุกคนนี่แหละที่จะต้องรับหน้าที่เป็นแสงสว่างส่องโลกสืบต่อจากพระองค์

นอกจากต้องเป็นแสงสว่างส่องโลกแล้ว อีกหน้าที่หนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายให้แก่เราคริสตชนก็คือ เป็นเกลือดองแผ่นดิน

เป็นเกลือและเป็นแสงสว่างหมายความว่าอะไร?

ก่อนอื่นพี่น้องควรทราบว่าในสมัยโบราณเครื่องปรุงอาหารสุดยอดที่สุดก็คือเกลือ (ไม่มีคำว่าน้ำตาลในพระคัมภีร์) ถ้าไม่มีเกลืออาหารก็จืดชืด ไม่มีรสชาติ เมื่อพระเยซูเจ้าบอกให้เราเป็นเกลือ พระองค์กำลังบอกเราว่า เกลือทำให้อาหารอร่อยมีรสชาติฉันใด เราคริสตชนก็ต้องทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่น่าชื่นชมและน่าอยู่ฉันนั้น

แล้วเราจะทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่น่าชื่นชมและน่าอยู่ได้อย่างไร? คำตอบอยู่ในพระวรสารโดยนักบุญมาระโกที่พูดเรื่องเดียวกันว่า “จงมีเกลือไว้ในท่านเถิด และจงอยู่อย่างสันติกับผู้อื่น” (มก 9:50) ก็แปลว่าในฐานะที่เป็นเกลือ เราต้องมีจิตใจที่อ่อนโยน โอบอ้อมอารี และเป็นมิตรกับทุกคน

ส่วนหน้าที่ในการเป็นแสงสว่างส่องโลกก็คือเราต้องคอยบอกทาง หากไม่มีแสงสว่าง เราคงเดินชนกันหรือขับรถตกถนน เป็นแสงสว่างนี่แหละที่คอยบอกเราว่า “นี่เป็นถนนนะ จงเดินตามทางนี้ หรือตรงนี้อันตรายนะ จงหลีกเลี่ยงมัน”

ถ้าไม่มีแสงสว่างและไม่มีเกลือ โลกคงไม่น่าอยู่และอยู่ไม่ได้ด้วย แต่ถ้ามีแสงสว่างและมีเกลือ โลกก็จะน่าอยู่กว่าและปลอดภัยกว่าด้วย และนี่คือหน้าที่ของเราผู้เป็นคริสตชนที่จะต้องช่วยกันทำให้โลกนี้ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

และเพื่อจะทำให้โลกดีกว่าที่เป็นอยู่ เราจำเป็นต้องทำเช่นเดียวกับเกลือและแสงสว่าง นั่นคือ

ประการแรก เราต้องแตกต่างจากโลกเหมือนเกลือต้องแตกต่างจากอาหาร หากเกลือหมดรสชาติมันก็ไม่แตกต่างจากอาหาร และเมื่อไม่แตกต่างจากอาหารมันก็ทำให้อาหารมีรสชาติดีกว่าเดิมไม่ได้ เช่นเดียวกันแสงสว่างก็ต้องแตกต่างจากความมืด ถ้าไฟฉายถ่านหมดมันก็ไม่แตกต่างจากความมืด และเมื่อไม่แตกต่างจากความมืดมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับคนที่อยู่ในความมืด

เพราะฉะนั้น เพื่อจะเป็นเกลือและเป็นแสงสว่างส่องโลก เราคริสตชนจำเป็นต้องแตกต่างจากโลก หากเราผู้มีความเชื่อไม่มีอะไรแตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ เราก็เป็นเหมือนเกลือที่หมดรสชาติที่ทำให้เกิดความแตกต่างคือมีรสชาติดีขึ้นไม่ได้ และสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่อยู่ที่เครื่องแบบ ไม่ใช่อยู่ที่กางเขนห้อยคอ แต่ต้องอยู่ที่การดำเนินชีวิตของเรา

ประกาศกอิสยาห์บอกวิธีดำเนินชีวิตให้เราในบทอ่านที่หนึ่งว่า “ถ้าท่านจะเลิกข่มเหงผู้อื่น เลิกชี้หน้ากล่าวหาและพูดร้ายต่อเขา ถ้าท่านแบ่งอาหารให้แก่คนหิว และตอบสนองความต้องการของผู้มีทุกข์ ความสว่างของท่านจะปรากฏขึ้นในความมืด และความมืดของท่านจะเป็นเหมือนเวลาเที่ยงวัน” (อสย 58:9-10)

พูดง่ายๆ ก็คือเราต้องรักกัน พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่า ท่านเป็นศิษย์ของเรา” (ยน 13:35) เป็นความรักนี่แหละที่ทำให้คริสตชนแท้แตกต่างจากคริสตชนเทียม !

ประการที่สอง ทั้งเกลือและแสงสว่างทำหน้าที่ของมันโดยการเข้าไปร่วมกับสิ่งที่มันต้องการเปลี่ยนแปลง เกลือไม่อาจทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้นได้หากมันไม่เข้าไปอยู่ในอาหารและทำให้มันมีรสชาติดีขึ้น แสงสว่างก็ไม่มีทางส่องทางได้หากมันไม่เผชิญกับความมืดและเข้าไปอยู่ในความมืด

บางครั้งเราคิดว่าคริสตชนควรจะถอยห่างจากโลกและจากสังคม แต่ถ้าเราพยายามหลีกหนีความจริงในโลกและในสังคมของเรา เราก็กำลังเอาตะเกียงไปซุกไว้ใต้ถัง เพื่อจะทำให้โลกและสังคมของเราแตกต่างจากเดิม เราต้องลุกขึ้นและเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง

หวังว่าพระวรสารวันนี้จะทำให้เราลุกขึ้นและตื่นตัว เพราะความหมายที่พระเยซูเจ้าแฝงไว้ในพระวรสารวันนี้ก็คือ ถ้าโลกยังอยู่ในความมืดและความสับสนวุ่นวายดังเช่นทุกวันนี้ นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ทำหน้าที่ของคริสตชนคือเป็นเกลือดองแผ่นดินและเป็นแสงสว่างส่องโลก

กระนั้นก็ตาม ยังไม่สายเกินไป เราสามารถตัดสินใจที่จะเริ่มต้นทำสิ่งที่แตกต่างจากเดิมได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราสามารถตัดสินใจที่จะเริ่มต้นจุดเทียนดีกว่าที่จะมัวแต่นั่งสาปแช่งความมืดหรือมัวแต่กล่าวโทษคนอื่น เทียนแม้เล่มเล็กที่สุดก็มีประโยชน์ในท่ามกลางโลกที่มืดมิดนี้ และขอให้พี่น้องแต่ละคนเป็นเทียนเล่มนั้นด้วยเทอญ