หลังจากคุณครูอนุบาลเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนเลี้ยงแกะและพญาสามองค์ที่มาเยี่ยมพระกุมารให้เด็กฟังแล้ว คุณครูก็ถามเด็กว่า “ไหนบอกครูซิว่าใครเป็นคนแรกที่รู้เรื่องการบังเกิดของพระเยซูเจ้า” เด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่งยกมือขึ้น ตอบว่า “แม่พระค่ะ”
คำตอบของเด็กซื่อ ชัด และก็ “ใช่” ด้วย !
แต่ผู้ใหญ่ส่วนมากมักจะมองข้ามคำตอบซื่อๆ แบบเด็กเล็กๆ นี้ไป เพราะมัวแต่คิดและคาดหวังคำตอบที่ซับซ้อนมากกว่านี้ เรามักโน้มเอียงที่จะเชื่อมโยงพระเจ้าเข้ากับปรากฏการณ์ที่โลดโผนและน่าตื่นเต้น เช่น เรื่องทูตสวรรค์จำนวนมากปรากฏมาในท้องฟ้าร้องสรรเสริญพระเจ้า หรือเรื่องดาวที่นำทางโหราจารย์จากแดนไกลมานมัสการพระกุมาร เป็นต้น ความโน้มเอียงเช่นนี้แหละที่ทำให้เราพลาดที่จะพบเห็นพระเจ้าในสิ่งที่เป็นปกติธรรมดาในชีวิตของเรา อย่างเช่นเรื่องการตั้งครรภ์และการให้กำเนิดบุตร มันจะเกี่ยวข้องกับพระเจ้าได้อย่างไร?
คำตอบของเด็กเล็กๆ คงช่วยเตือนใจเราให้หันกลับมามองสิ่งที่เป็นปกติธรรมดาในชีวิตของเราเพื่อเราจะได้พบกับพระเจ้าและผลงานของพระองค์ในสิ่งธรรมดาๆ เหล่านี้
พระวรสารวันนี้เริ่มต้นง่ายๆ ว่า “เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นดังนี้...” (มธ 1:18) แต่สำหรับชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้า คำขึ้นต้นแค่นี้ก็ทำให้พวกเขาช็อคแล้ว เพราะพวกเขาไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าพระคริสต์จะถือกำเนิดมาจากผู้หญิงธรรมดาๆ และเป็นเด็กทารกที่ต้องดูดนมแม่เหมือนทารกคนอื่นๆ แต่สิ่งที่พวกเขาเชื่อและคาดหวังมาโดยตลอดก็คือ พระคริสต์จะต้องเสด็จลงมาจากท้องฟ้าในทันทีทันใดพร้อมกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและเกียรติยศยิ่งใหญ่เยี่ยงกษัตริย์ และสถานที่ที่พระองค์จะร่อนลงบนพื้นโลกก็คือยอดพระวิหาร
ชาวยิวจึงไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าเป็นพระคริสต์หรือเป็นพระเมสสิยาห์ด้วยเหตุผลที่นักบุญยอห์นบันทึกไว้ในพระวรสาร 7:27 ว่า “พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน”
พวกเขาเห็นว่าการเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางมนุษย์ของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องง่ายเกินกว่าจะเป็นจริง
ทุกวันนี้ เราก็เหมือนชาวยิวในสมัยก่อน คือเรากำลังเฝ้าคอยพระเจ้าเสด็จมาท่ามกลางเรา เรากำลังเฝ้าคอย “อิมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” วันนี้เราจึงควรถามตัวเราเองว่า เราคาดหวังว่าพระเจ้าจะเสด็จมาอยู่ท่ามกลางเราอย่างไร? เราคาดหวังว่าพระองค์จะทำงานท่ามกลางเราอย่างไร? พระองค์ต้องปลุกคนตายให้กลับเป็นขึ้นมาวันละคน หรือเราคิดว่าพระเจ้าตายแล้ว?
คำถามเหล่านี้สำคัญเพราะหลายครั้ง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ท่ามกลางเรา ไม่ได้ทำงานอยู่ท่ามกลางเรา แต่อยู่ที่เราไม่ตระหนักถึงวิธีการที่พระองค์ทรงประทับและทรงทำงานอยู่ท่ามกลางเรามากกว่า
การเสด็จมาของพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์ ไม่ใช่จากก้อนเมฆในท้องฟ้า แต่จากการอยู่ในครรภ์ของหญิงชาวชนบทคนหนึ่งเป็นเวลา 9 เดือน และค่อยๆ เจริญเติบโตจากทารก เป็นวัยรุ่น และเป็นผู้ใหญ่นั้น น่าจะเตือนใจเราว่า พระเจ้าเสด็จมาหาเราในเหตุการณ์ปกติธรรดาในชีวิตของเรานี่เอง พระองค์เสด็จมาหาเรา มาอยู่ท่ามกลางเรา ผ่านทางผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเด็กแรกเกิด เป็นวัยรุ่น เป็นผู้สูงวัย หรือเป็นผู้ที่กำลังจะสิ้นใจก็ตาม
จริงอยู่ มันไม่ง่ายที่จะมองเห็นพระเจ้าในผู้คนที่เราคุ้นเคยหรือแม้แต่ในตัวเราเอง แต่ถ้าเรามองย้อนกลับไปดูวิธีการที่พระบุตรของพระเจ้าลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เราก็ควรจะเริ่มมองให้เห็นพระเจ้าและผลงานของพระองค์ในชีวิตประจำวันของเราให้ยิ่งวันยิ่งมากขึ้น
ชาวไนจีเรียมีสุภาษิตบทหนึ่งว่า “จงฟัง แล้วคุณจะได้ยินเสียงฝีเท้ามด” วันนี้พ่อจึงขอเชิญชวนเราทุกคนให้ฟัง เพื่อเราจะได้ยินเสียงฝีเท้าของพระเจ้าผู้เสด็จมาหาเราผ่านทางวิถีทางธรรดาๆ ผู้คนธรรมดาๆ และช่วงเวลาธรรมดาๆ ในชีวิตของเรา ไม่จำเป็นที่เราจะต้องแหงนหน้ามองท้องฟ้าหรือต้องดำดิ่งลงก้นบึ้งแห่งมหาสมุทรเพื่อจะค้นหาพระองค์ เพราะนักบุญเปาโลบอกเราว่า “เรามีชีวิต เราเคลื่อนไหว และเรามีความเป็นอยู่ในพระองค์” (กจ 17:28)
เพราะฉะนั้นพ่อขออวยพรพี่น้องเช่นเดียวกับที่นักบุญเปาโลอวยพรคริสตชนในกรุงโรมว่า “ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับพระหรรษทาน และสันติจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” เพื่อเราจะได้มอง มองให้เห็น และจะได้พบกับพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรับเอากายลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเรากำลังจะฉลองระลึกถึงการเสด็จมาของพระองค์ในอีก 2-3 วันข้างหน้านี้