เนื่องจากอาทิตย์หน้าก็จะเป็นอาทิตย์สุดท้ายของปีพิธีกรรมคือปี C แล้ว บทอ่านของวันอาทิตย์นี้จึงเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก่อนวาระสุดท้ายหรือวันสิ้นโลก
แม้เราจะไม่รู้ว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะพระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เรื่องวันและเวลานั้นไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น”
แต่ถึงจะไม่รู้วันและเวลาว่าจะสิ้นโลกเมื่อใด กระนั้นก็ตามเรารู้แน่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าตรัสผ่านประกาศกมาลาคีในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ว่า “ดูซิ วันนั้นกำลังมาถึง”
บรรดาคริสตชนในยุคเริ่มแรกต่างพากันเฝ้ารอวันนั้น คือวันสิ้นโลกด้วยใจจดจ่อ จนไม่เป็นอันทำมาหากิน นักบุญเปาโลจึงต้องเตือนในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า “ถ้าผู้ใดไม่อยากทำงานก็อย่ากิน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรจะต้องเตรียมตัวอย่างไรสำหรับ “วันนั้น” ที่จะมาถึง?
หากเราต้องการจะเตรียมตัวอย่างดีสำหรับวันนั้น วันนี้เราต้องหันกลับมาทบทวนความคิดของเราเกี่ยวกับ “การนมัสการและสรรเสริญพระเจ้า” เสียใหม่
เกี่ยวกับการนมัสการและสรรเสริญพระเจ้านี้ มีความคิดสุดโต่งอยู่ 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกคิดและสอนว่าพระเจ้าประทับอยู่ในจิตใจของเราทุกคน เราจึงไม่จำเป็นต้องไปพบพระองค์ที่วัดเพื่อจะได้นมัสการและสรรเสริญพระองค์ พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ไปวัด
ถ้าเราเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ ก็อยากให้ลองแยกท่อนฟืนที่กำลังติดไฟลุกโชติช่วงออกจากกองไฟดูสิ เดี๋ยวเดียวมันก็จะค่อยๆ มอดดับ แล้วก็คงเหลือไว้แต่ผงถ่านสีขาวที่ปกคลุมมัน
เช่นเดียวกัน เราจะรักษาไฟแห่งความเชื่อของเราไว้ให้ลุกโชติช่วงอย่างมั่นคงจนกว่าจะถึงวันนั้นได้ ก็จำเป็นที่เราจะต้องอยู่ร่วมกับพี่น้องชายหญิงที่มาชุมนุมนมัสการและสรรเสริญพระเจ้าพร้อมเพรียงกันในวัด เหมือนฟืนที่ต้องอยู่รวมกับกองฟืนที่ติดไฟ มันจึงจะลุกโชติช่วงอยู่ได้
อีกกลุ่มหนึ่งก็สุดโต่งเหมือนกัน กลุ่มนี้คิดตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก คือพวกเขามองว่าพระเจ้าประทับอยู่ในวัดและในพิธีกรรมต่างๆ เท่านั้น หากจะนมัสการพระเจ้าก็ต้องไปที่วัด
หากเราเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ ก็ขอให้ฟังพระวรสารวันนี้ให้ดี นักบุญลูกาเล่าว่า มีบางคนซึ่งอาจเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าเองก็ได้ ที่ตื่นตะลึงกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งกษัตริย์เฮโรดมหาราชใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 46 ปี
โยเซฟุส ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวยิว บรรยายไว้ว่า ภายนอกพระวิหารถูกเคลือบด้วยทองคำ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น มันจะสะท้อนแสงเจิดจ้าจนต้องหลบสายตา และหากมองจากระยะไกลมันจะเหมือนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เพราะส่วนที่ไม่ได้เคลือบทองคำล้วนขาวผ่องสะอาดตา และเมื่อเข้ามาในพระวิหาร ก็จะมองเห็นเสาระเบียงและเสาพระวิหารแต่ละต้นทำจากหินอ่อนก้อนเดียวสีขาวสูงถึง 40 ฟุตซึ่งหายากและราคาแพงมาก เครื่องประดับที่มีชื่อเสียงที่สุดในพระวิหารก็คือเถาองุ่นทำด้วยทองคำแท้ แต่ละเถาสูงเท่าคน
สำหรับชาวยิว แม้แต่จะคิดก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่พระวิหารอันยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นนี้จะกลายเป็นกองเถ้าถ่าน
สำหรับคนกลุ่มนี้ พระวิหารคือที่ประทับเพียงแห่งเดียวของพระเจ้าบนโลกใบนี้ พวกเขาจึงตกแต่งพระวิหารให้สวยงามตระการตาเพื่อบ่งบอกถึงความเชื่ออันยิ่งใหญ่ของพวกเขา
แต่พระเยซูเจ้ากลับตรัสในพระวรสารวันนี้ว่า “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย”
ทำไมพระองค์จึงตรัสทำนายเช่นนี้ล่ะ?
เพื่อจะตอบคำถามนี้ เราต้องไม่ลืมว่าชาวยิวที่ช่วยกันก่อสร้างและประดับประดาพระวิหารของพระเจ้าให้สวยงามตระการตาเช่นนี้ก็คือชาวยิว ชนชาติเดียวกันกับที่ตรึงกางเขนพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า
ถ้าพวกเขามองเห็นพระเจ้าในท่ามกลางหินอ่อนและทองคำที่ใช้ประดับประดาพระวิหาร ทำไมพวกเขาจึงมองไม่เห็นพระเจ้าที่เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ มีเลือดมีเนื้อเหมือนพวกเราล่ะ?
เมื่อมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้านอกจากในพระวิหารเท่านั้น พระวิหารนี้จึงถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลองในปี ค.ศ. 70 โดยกองทัพโรมันสมัยจักรพรรดิ์ตีตัส ตามที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสทำนายไว้
น่าเสียดายที่พระศาสนจักรในสมัยกลาง ก็เคยเดินตามรอยของชาวยิว มีการลงทุนสร้างมหาวิหารและวัดวาอารามด้วยราคาแพงลิบลิ่ว แต่ชีวิตและสิทธิมนุษยชนกลับมีราคาตกต่ำดำดิ่ง มีการค้าทาส มีสงครามศาสนาที่เรียกกันว่าสงครามครูเสด มีการทรมานคน มีการฆ่า มีการเผาไฟคนที่ถูกสงสัยว่าเป็นแม่มด หรือสอนผิดความเชื่อ เป็นต้น
พี่น้องครับ เป็นไปได้ไหมว่า เรายิ่งยกย่องวัดวาอารามว่าเป็นบ้านของพระเจ้ามากเท่าใด เราก็ยิ่งให้คุณค่าของมนุษย์ซึ่งเป็นฉายาของพระเจ้าลดน้อยลงเท่านั้น?
คำถามนี้เราไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะความเชื่อของเราเรียกร้องให้เราตระหนักอยู่เสมอว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ทั้งในตัวเรามนุษย์แต่ละคน และในวัดวาอารามด้วย
นักบุญเปาโลบอกชาวโครินธ์ว่าพวกเขามีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากับพระวิหารเพราะร่างกายของพวกเขาก็คือพระวิหารของพระจิตเจ้านั่นเอง นักบุญเปาโลกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้าทรงพำนักอยู่ในท่าน” (1 คร 3:16) “ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน ท่านได้รับพระจิตนี้จากพระเจ้า” (1 คร 6:19)
เพราะฉะนั้น คริสตชนที่มองเห็นพระเจ้าในความยิ่งใหญ่ตระการตาของพระวิหารหรือวัดวาอารามต่างๆ จึงเข้าใจความจริงเพียงครึ่งเดียว ส่วนคนที่คิดว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่ในร่างกายของเราแล้ว เราจึงไม่จำเป็นต้องไปนมัสการและสรรเสริญพระองค์ที่วัดอีกต่อไป คนพวกนี้ก็เข้าใจความจริงเพียงครึ่งเดียวอีกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เพื่อจะเตรียมตัวเราให้ดีที่สุดสำหรับ “วันนั้น” ซึ่งก็คือวันสิ้นโลก เราต้องพยายามมองให้เห็นและรับใช้พระเจ้าทั้งในวัดเวลาเรามาชุมนุมกันนมัสการพระองค์ และในตัวเพื่อนมนุษย์แต่ละคนหลังจากเรานมัสการพระองค์และออกไปจากวัดแล้วด้วย
เราต้องไม่ลืมว่า เรารักและปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เพราะพวกเขาประพฤติตนดีสมควรได้รับ แต่เป็นเพราะพระจิตเจ้าที่ทรงประทับอยู่ในตัวเขาต่างหากที่สมควรได้รับ
ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดให้เราเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันนั้นที่พระองค์จะเสด็จมาพิพากษาเราทุกคน ด้วยการดำเนินชีวิตรักและรับใช้พระองค์ผู้ทรงประทับอยู่ทั้งในวัดและในมนุษย์เราแต่ละคนด้วยเทอญ