Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 999

     บอริส เบ็คเกอร์ อดีตนักเทนนิสมือ 1 ของโลกชาวเยอรมัน เขาเป็นแชมป์วิมเบิลดันที่อายุน้อยที่สุดคือ 17 ปี และเมื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพนักเทนนิส เขาร่ำรวยชนิดที่สามารถซื้อหาความสะดวกสบายและความหรูหราตามที่เขาต้องการได้ทั้งหมด ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีความสุข ชีวิตของเขาว่างเปล่าและไร้ความหมายจนเขาคิดฆ่าตัวตาย เขากล่าวว่า “ผมไม่มีสันติสุขในจิตใจ”
     เบ็คเกอร์ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่า คนที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็รู้สึกอย่างนี้ ดังที่ ดร. จอห์น ออสวัลด์ แซนเดอร์ส กล่าวไว้ในหนังสือ Facing Loneliness ว่า “เศรษฐีมักจะเป็นคนที่โดดเดี่ยว และนักแสดงตลกก็มักจะมีความสุขน้อยกว่าผู้ชมของเขา” หรือเหมือนกับแจ็ค ฮิกเกนส์ ผู้เขียนนวนิยายที่ประสบความสำเร็จดังเช่น The Eagle Has Landed เมื่อถูกถามว่าสมัยเป็นเด็กเขาอยากรู้อะไรมากที่สุด เขาตอบว่า “อยากรู้ว่าเมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุด มันไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น”
แล้วใครจะรู้เรื่องนี้ดีไปกว่าศักเคียสในพระวรสารวันนี้? ในฐานะหัวหน้าคนเก็บภาษีแห่งเมืองเยรีโค ศักเคียสคงร่ำรวยแบบฉาวโฉ่ เพราะแม้ไม่มีเงินเดือนประจำ แต่เขาก็เป็นเจ้าของธุรกิจ โรมจะเรียกเก็บภาษีเมืองต่างๆ ตามจำนวนที่คาดว่าเมืองนั้นๆ จะจ่ายได้ในแต่ละปี หัวหน้าคนเก็บภาษีจะจ่ายเงินจำนวนนี้ให้โรม จากนั้นเขาก็มีสิทธิและเสรีภาพแต่เพียงผู้เดียวในการกำหนดและเก็บภาษีจากชาวเมืองแต่ละคน เงินที่เขาเก็บได้เกินกว่าที่เขาจ่ายให้โรมก็คือกำไรของเขา แต่ถึงจะทำเงินได้มากมายเขาก็ไม่วายถูกชาวเมืองเกลียดชัง ไม่เพียงเพราะเขาขูดรีดภาษีจากชาวเมืองเท่านั้น แต่เพราะเขาช่วยชาวโรมันซึ่งเป็นคนนอกศาสนาให้เอาเปรียบชาวยิวด้วยกันเอง เขาจึงถูกมองว่าเป็นคนบาปเปิดเผย เป็นคนทรยศและมีมลทินต่อหน้าพระเจ้า
แม้เขาจะมีฐานะการเงินดีแต่ก็มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ห่างเหินจากชาวเมือง และเหินห่างจากพระเจ้า
     ซัคเคียสรู้สึกทึ่งกับพระเยซูเจ้า ทำไมชาวกาลิลีผู้ยากจนคนนี้จึงมีแต่คนรักและภักดี เคล็ดลับของเขาคืออะไร? ศักเคียสอยากรู้ แต่คนที่มั่งคั่งและมีฐานะอย่างเขาจะปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชนที่ถูกเขารีดภาษีปีแล้วปีเล่าได้อย่างไรกัน เขาคิดหาวิธีที่จะเห็นพระเยซูโดยไม่มีใครเห็นเขา เขาจึงปีนขึ้นต้นไม้และซ่อนตัวอยู่บนนั้น ซึ่งนับเป็นความตกต่ำสุดๆ ของเขา เพราะการปีนต้นไม้เป็นกิจกรรมของเด็กและทาสเท่านั้น หากใครเห็นเขาบนต้นไม้เขาคงต้องอับอาย ถูกเยาะเย้ยและโห่ใส่อย่างแน่นอน แต่เสียงเยาะเย้ยก็ต้องหยุดลงเมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรศักเคียสบนต้นไม้และตรัสว่า “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” เขารีบลงจากต้นไม้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วฝูงชนก็หลีกทางให้เขาเข้ามาสวมกอดพระเยซูเจ้าและพาพระองค์ไปที่บ้านของเขา
     ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ พระเยซูเจ้าไม่ได้เทศนาสั่งสอนเขาให้กลับใจหรือไม่ก็ไล่ไปลงนรก แต่การที่พระองค์ไม่ตัดสินเขาและทรงยอมรับเขาโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ กลับจับใจเขามากกว่าคำเทศน์ใดๆ ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระองค์ต่อหน้าทุกคนว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า”
     ด้วยการมอบทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนยากจนและคืนสมบัติให้แก่คนที่เขาโกงมาสี่เท่า แน่นอนว่าความมั่งคั่งร่ำรวยของศักเคียสก็หมดไป แต่ใครล่ะจะต้องการเงินนั้นในเมื่อเขาได้พบกับชีวิตที่มีความหมายอย่างเต็มเปี่ยม?
มีชายหญิงแบบศักเคียสอีกมากมายที่กำลังซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ที่เราเดินผ่านทุกวัน พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราเงยหน้าขึ้นมองและเชิญพวกเขาไปรับประทานอาหารด้วยกัน เราต้องเป็นฝ่ายเริ่มยื่นมือไปหาพวกเขาก่อนเพราะพวกเขาหลายคนถูกขู่โดยผู้เคร่งศาสนาว่าจะต้องประสบชะตากรรมที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เมื่อเราไม่ตัดสินเขาและเชิญพวกเขาด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไขให้มาร่วมรับประทานอาหารกับเราหรือดื่มกับเรา เราอาจแปลกใจที่เห็นว่าเรากำลังเผยแพร่ข่าวข่าวดีเรื่องความรักของพระเจ้าในลักษณะที่สัมผัสหัวใจของพวกเขาได้มากกว่าการเทศนาเป็นร้อยๆ ครั้ง
     นี่คือกิจการที่เหมาะสมกับการที่พระเจ้าทรงเรียกเรา นี่คือกิจการแห่งความเชื่อ นี่คือเจตจำนงที่ดี และนี่คือสิ่งที่นักบุญเปาโลเรียกร้องให้เราดำเนินชีวิตระหว่างที่รอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงมองข้ามบาปของเรามนุษย์ เพื่อเรามนุษย์จะได้เป็นทุกข์กลับใจ