Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 343

     สำหรับเราผู้มีความเชื่อ เราจำเป็นต้องตั้งใจฟังพระวาจาในพระวรสารวันนี้ให้มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องราวของผู้ที่มีความเชื่อสองคน คนหนึ่งคือฟาริสี อีกคนหนึ่งคือคนเก็บภาษี
ก่อนอื่นต้องขอย้ำว่าทั้งสองคนนี้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกัน และก็อธิษฐานภาวนาในพระวิหารเดียวกันด้วย ทั้งคู่เป็นผู้ที่มีความเชื่อเข้มแข็งและมาอธิษฐานภาวนาในพระวิหารเป็นประจำทุกวัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งกลับไปบ้านพร้อมกับความชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ได้รับความชอบธรรม
เราทุกคน ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า จึงต้องตั้งใจศึกษาเคล็ดลับในพระวรสารวันนี้เพื่อเราจะได้ทูลเสนอคำภาวนาที่พระเจ้าทรงพอพระทัยและสดับฟัง และเพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่จะนำไปสู่ความชอบธรรม ไม่ใช่นำไปสู่ความผิดหวังในบั้นปลายชีวิตของเรา
     และเพื่อจะเข้าใจพระวรสารวันนี้ได้อย่างลึกซึ้ง ควรที่เราจะเรียนรู้ว่าพวกฟาริสีคือใครเสียก่อน
อันที่จริง พวกเขาเป็นคนที่เคร่งครัดและศรัทธาในศาสนามาก เป็นคนที่จริงจังกับความเชื่อและอุทิศทั้งชีวิตเพื่อสวดภาวนาและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า และจริงๆ แล้วพวกเขาทำมากกว่าที่บัญญัติกำหนดเสียอีก พวกเขาจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน คือทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี ทั้งๆ ที่ธรรมบัญญัติกำหนดให้จำศีลอดอาหารเพียงปีละครั้งในวันชดเชยบาป พวกเขายังถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะพืชผลจากไร่นาตามที่ธรรมบัญญัติกำหนด เมื่อฟาริสีในอุปมาวันนี้พูดว่า “ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า” นั้น เขาไม่ได้ล้อเล่น แต่เขาทำจริงๆ มีคริสตชนน้อยคนนักที่จะดำเนินชีวิตตามมาตรฐานด้านศีลธรรมได้เทียบเท่ากับพวกเขา
ส่วนคนเก็บภาษีนั้นตรงกันข้ามเลย พวกเขาถูกตราหน้าว่าตกต่ำทางด้านศีลธรรมเพราะดันไปร่วมมือกับพวกโรมันซึ่งเป็นคนต่างชาติและต่างศาสนา จึงกลายเป็นคนที่มีมลทิน เป็นคนบาปเปิดเผย และกำลังมุ่งหน้าไปสู่นรก
กระนั้นก็ตาม พวกคนเก็บภาษีรู้ดีว่า เสียงของมนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงของพระเจ้าเสมอไป พวกเขาจึงยังคงหวังในความรอดพ้น ไม่ใช่ด้วยคุณงามความดีของตนเอง แต่ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
เกี่ยวกับความเชื่อนี้ เราต้องไม่ลืมว่าการเชื่อในพระเจ้าไม่ได้ช่วยให้ทุกคนรอดเสมอไปเพราะปีศาจมันก็เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน นักบุญยากอบบอกว่า “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวหรือ ดีแล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อเช่นนั้นและยังกลัวจนตัวสั่นด้วย” (ยก 2:19) แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ว่า เราเชื่อว่าพระเจ้าเป็นอะไร และการเชื่อเช่นนั้นส่งผลต่อมุมมองของเรา ทั้งต่อตัวเราเองและต่อผู้อื่นอย่างไร
พวกฟาริสีนั้นเชื่อว่าพระเจ้าทรงเลือกที่รักมักที่ชัง คือพระองค์ทรงรักคนดีและเกลียดคนชั่ว และเพราะคนเรามักดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเจ้าที่ตนเชื่อ พวกฟาริสีก็เลยรักแต่คนดีดังเช่นพวกตนเอง และดูหมิ่นรังเกียจคนบาปอย่างเช่นคนเก็บภาษีที่สวดภาวนาอยู่ข้างๆ เขา
     แต่พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาในพระวรสารวันนี้ก็เพื่อต่อต้านพวกเขาที่ “ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่น” (ข้อ 9)
ตรงกันข้ามกับพวกฟาริสี คนเก็บภาษีนั้นไม่ได้ภูมิใจในตนเอง ไม่ได้วางใจในตนเองหรือในสิ่งที่ตนเองได้กระทำ แต่เขาวางใจในพระเมตตาของพระเจ้าเท่านั้น เขายืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” และนี่คือคนที่กลับไปบ้านแล้วได้รับความชอบธรรม ไม่ใช่ฟาริสีที่คิดว่าตนเองชอบธรรมแล้ว
     พี่น้องครับ เราก็มาวัดเพื่อสวดภาวนาและนมัสการพระเจ้าเช่นเดียวกับฟาริสีและคนเก็บภาษีในพระวรสารวันนี้ และเราก็หวังที่จะกลับไปบ้านหลังมิสซาด้วยจิตใจที่สงบสุขกับพระเจ้าเช่นเดียวกัน จึงขอให้เราเรียนรู้เคล็ดลับของคนเก็บภาษีที่จะทำให้การสวดภาวนาและการนมัสการพระเจ้าของเราเป็นที่พอพระทัยของพระองค์
     ประการแรก เราไม่ควรฟังคนอื่น แม้แต่มโนธรรมของเราเอง ที่บอกว่าพระเจ้าทรงพิโรธเราและจะไม่มีทางให้อภัยเรา
     ประการที่สอง เราต้องยอมรับว่าเราเป็นคนบาป และมอบตัวเราไว้ในพระเมตตาอันไม่มีขอบเขตของพระองค์ ซึ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าบาปใดๆ ที่เราได้กระทำ ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสสักเพียงใดก็ตาม
และประการสุดท้าย ให้เราสัญญากับพระองค์ว่าจากนี้ไปเราจะไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อนพี่น้องของเราที่เป็นคนบาป แต่จะพยายามช่วยพวกเขาให้พบพระเจ้า เหมือนที่คนเก็บภาษีในพระวรสารวันนี้ช่วยเราให้พบกับพระเมตตาของพระองค์
อย่าลืมว่า พระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิ่ง แต่ทรงพระเมตตาต่อผู้ที่สุภาพถ่อมตนเสมอ
แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้ที่มีความสุภาพถ่อมตนและได้รับพระเมตตาจากพระเจ้านั้น จะมีชีวิตที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ
นักบุญเปาโลเป็นผู้หนึ่งที่สุภาพถ่อมตนและยอมรับว่าเป็นคนบาป แต่ไม่ใช่ว่าชีวิตของท่านจะแคล้วคลาดจากความยากลำบาก ความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมาน ท่านถูกตัดสินประหารชีวิตข้อหากบฏเพราะท่านเชื่อพระเยซูเจ้ามากกว่าเชื่อพระจักรพรรดิ์
     อย่างไรก็ตาม ท่านยังมั่นคงในความเชื่อ ท่านบอกเราในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า เป็นพระเจ้าที่ทรงช่วยท่านให้รอดพ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้น รวมถึงหลุดพ้นจากปากของสิงโตด้วย (2 ทธ 4:17-18)
การหลุดพ้นจากปากของสิงโตนี้ มิได้หมายความว่าพระเจ้าทรงช่วยท่านให้รอดพ้นจากการถูกประหาร แต่หมายถึงการที่พระองค์ทรงช่วยท่านให้รอดพ้นจากการละทิ้งความเชื่อเพื่อจะได้เอาชีวิตรอด
การปฏิเสธความเชื่อคือสิ่งเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้กับผู้มีความเชื่อ ความตายนั้นไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่สุด
     เพราะฉะนั้น วันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าด้วยความสุภาพถ่อมตนดังเช่นคนเก็บภาษี ขอพระองค์โปรดให้เราสำนึกว่าเราเป็นคนบาป และเชื่อมั่นในพระเมตตาและความช่วยเหลือของพระองค์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็ตาม เพราะนักบุญเปาโลบอกเราในจดหมายถึงชาวโรมว่า “พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์” (รม 8:28)