Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 902

     วันนี้มีเรื่องจริงเกี่ยวกับนักเทศน์และอาจารย์พระคัมภีร์ชาวอเมริกันเชื้อสายแคนาเดียนคนหนึ่งมาเล่าให้พี่น้องฟัง เขาชื่อ Harry Ironside ครั้งหนึ่ง แฮรี่ได้เข้าไปในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่มีลูกค้าแน่นร้าน ขณะที่เขากำลังจะเริ่มกินอาหารก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยเพราะโต๊ะอื่นเต็ม แฮรี่เชิญเขานั่งโต๊ะแล้วก็ก้มศีรษะลง สวดภาวนาเหมือนอย่างที่เคยทำตามปกติ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ชายผู้นั้นถามว่า “คุณปวดศีรษะหรือ?” แฮรี่ตอบว่า “เปล่านี่” ชายผู้นั้นถามต่อว่า “ถ้างั้นอาหารไม่ถูกปากหรือ?” แฮรี่ตอบว่า “ไม่ใช่ ผมแค่ขอบคุณพระเจ้าก่อนรับประทานอาหารเท่านั้น” ชายผู้นั้นจึงพูดว่า “อ๋อ คุณก็เป็นพวกนั้นนั่นเอง ผมอยากจะบอกคุณว่าผมไม่เคยขอบคุณพระเจ้าเลย เงินทุกบาททุกสตางค์ผมหามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของผมเอง ผมไม่มีวันขอบคุณใครทั้งสิ้นก่อนกินอาหาร” แฮรี่ตอบว่า “ใช่ คุณนี่เหมือนสุนัขของผมเลย สุนัขของผมมันก็ทำแบบนี้แหละ”
พี่น้องครับ ทุกวันนี้มีผู้คนมากมายในสังคมของเราที่เป็นเหมือนชายที่นั่งร่วมโต๊ะกับแฮรี่ คนพวกนี้เชื่อว่าเขาหาสิ่งต่างๆ มาได้ด้วยตัวของพวกเขาเองจึงไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องขอบคุณพระเจ้า แต่พวกเขาลืมไปว่าสิ่งดีต่างๆ ในชีวิตของเขาล้วนเป็นพระพรของพระเจ้า
     ยกตัวอย่างเช่น มีใครบ้างที่สมควรเกิดมามีชีวิต ในขณะที่คนอื่นบางคนเกิดมาตายหรือไม่ก็ถูกทำแท้ง?
เรามีพ่อแม่ที่รักเราใช่ไหม เราทำอะไรหรือจึงมีพ่อแม่ที่รักเรา ในขณะที่คนอื่นไม่มี?
เราทำอะไรหรือตาจึงมองเห็น หูฟังได้ยิน ลิ้นพูดได้ ขาก็เดินได้ ในขณะที่บางคนท่ามกลางพวกเราต้องเป็นคนพิการ?
เราเก่ง เราหล่อ เราสวยใช่ไหม เราจ่ายเงินให้พระเจ้าเท่าไหร่ จึงมีสติปัญญาเฉียบแหลม หล่อเหลา หรือสวยงามแบบนี้?
เรามีครูดีๆ เพื่อนดีๆ ญาติพี่น้องดีๆ บ้างไหม เราทำอะไรหรือจึงมีโอกาสได้พบแต่คนดีๆ
เห็นไหม เรามักไม่เห็นคุณค่าของพระพรต่างๆ ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่เรา คุณ Emerson ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าดวงดาวโผล่มาให้เราเห็นปีละครั้ง เราก็คงตืนเฝ้าดูมันทั้งคืน แต่เพราะเราเห็นดวงดาวอยู่ทุกคืน เราก็เลยไม่สนใจมัน เช่นเดียวกัน เราได้รับพระพรของพระเจ้าบ่อยมากจนเคยชิน แล้วก็ลืมที่จะขอบพระคุณพระองค์
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน แต่มีเพียงคนเดียวที่กลับมาขอบพระคุณพระองค์ แล้วอีกเก้าคนหายไปไหน ทำไมพวกเขาไม่กลับมาขอบพระคุณพระองค์?
เรามาช่วยกันหาคำตอบ บางทีเหตุผลของพวกเขาทั้งเก้าคนอาจเป็นเหตุผลของพวกเราเองด้วยก็ได้
คนแรกพูดว่า “ผมคิดว่าเราต้องรอดูอีกหน่อยนะว่าจะหายจริงมั้ย เดี๋ยวมันหวนกลับมาเป็นอีก”
คนที่สองเห็นด้วย บอกว่า “ใช่ ถึงหายจริง เราก็ยังมีเวลาอีกเยอะแยะที่จะกลับมาหาพระองค์”
คนที่สามเริ่มชักใบให้เรือเสีย “พวกคุณรู้มั้ย บางทีเราอาจไม่ได้เป็นโรคเรื้อนตั้งแต่แรกก็ได้”
คนที่สี่คล้อยตาม “ผมเองก็นึกอยู่เชียวว่า สักวันหนึ่งมันก็จะหายเองแหละ”
คนที่ห้ามองโลกในแง่ดี แนะว่า “ผมจะบอกให้นะ ถ้าพวกเราคิดบวกว่ามันจะหาย มันก็จะหาย ไม่เห็นต้องง้อใคร”
คนที่หกนี่ไม่เห็นพระเยซูเจ้าอยู่ในสายตาเลย เขาพูดว่า “พระเยซูไม่ได้ทำอะไรพิเศษเลย รับบีคนไหนๆ ก็ทำได้”
คนที่เจ็ดนี่อกตัญญูสุดๆ เขาเสนอว่า “ตอนนี้เราก็โอเคแล้ว ทำไมเรายังจะต้องการพระองค์อีกล่ะ?”
คนที่แปดนี่เคร่งหน่อย “ตอนนี้คนที่เราต้องการที่สุดก็คือสมณะเพื่อจะประกาศว่าเราหายแล้ว เราพ้นมลทินแล้ว”
คนสุดท้ายนี่พูดราวกับเข้าใจจิตใจของพระเยซูเจ้าดี “พระเยซูสั่งให้เราไปหาสมณะ ถ้าเรากลับไปตอนนี้พระองค์คงโกรธแน่”
พี่น้องครับ คนโรคเรื้องทั้งเก้าคนไปหาสมณะเพราะกฎหมายยิวกำหนดไว้เช่นนั้น ส่วนคนที่สิบไปหาสมณะไม่ได้เพราะเขาเป็นชาวสะมาเรีย เป็นคนต่างชาติที่ชาวยิวไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย แต่กับคนต่างชาติที่มีสามัญสำนึกอย่างเขาและอย่างนาอามาน ชาวซีเรียที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งนี่แหละที่กลับมาขอบพระคุณพระเจ้า
     เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะยึดถือกฎระเบียบหรือกฎเกณฑ์หยุมหยิมแบบหลับหูหลับตาเหมือนคนโรคเรื้อนทั้งเก้าคน เราลองหันมาใช้เหตุใช้ผล ใช้สามัญสำนึกของเราเหมือนอย่างคนโรคเรื้อนชาวสะมาเรียและนาอามาน ชาวซีเรีย เราก็จะเข้าถึงพระประสงค์ของพระเจ้าได้และอาจจะดีกว่าด้วย
     อีกคนหนึ่งที่มีความกตัญญูต่อพระเจ้าอย่างล้นเหลือก็คือนักบุญเปาโล ขณะที่ท่านเขียนจดหมายถึงทิโมธีฉบับที่สอง ซึ่งเป็นฉบับสุดท้ายในชีวิตของท่านอยู่นี้ ท่านถูกจองจำอยู่ในคุกที่กรุงโรม รอวันประหาร แต่ด้วยความกตัญญูที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกและทรงเรียกท่านทั้งๆ ที่ท่านเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระองค์มาก่อน ท่านจึงเต็มใจทนทุกข์ถูกจองจำเหมือนเป็นอาชญากร เพื่อให้ผู้ที่มีความเชื่อได้รับความรอดพ้นในพระเยซูเจ้า นอกจากนั้น ท่านยังกำชับทิโมธีซึ่งเป็นพระสังฆราชให้ประกาศข่าวดีของพระองค์ด้วยเหตุผลที่ว่า “พระวาจาของพระเจ้าจะถูกจองจำไม่ได้” ท่านช่างกตัญญูต่อพระเยซูเจ้าจริงๆ
พี่น้องครับ ทุกวันนี้ คริสตชนจำนวนมากไม่มาวัดวันอาทิตย์ ไม่มาร่วมมิสซา นี่คือเครื่องหมายของความไม่กตัญญูเพราะมิสซาก็คือพิธีบูชาขอบพระคุณ หากเราตระหนักว่าทุกสิ่งเป็นพระพรของพระเจ้า เราก็ควรจะทำเช่นเดียวกับคนโรคเรื้อนชาวสะมาเรีย หรือนาอามาน ซึ่งเป็นแม่ทัพชาวซีเรีย ที่พอรู้ว่าหายแล้ว ก็กลับมาขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้า อย่างน้อยก็ทุกวันอาทิตย์
ขออย่าให้เราเป็นเหมือนคนโรคเรื้อนทั้งเก้าคนนั้นเลย !