บทอ่านที่หนึ่งวันนี้มาจากหนังสือประกาศกอาโมส ในสมัยของอาโมสบ้านเมืองสงบสุข ปลอดพ้นจากภัยสงคราม แต่สภาพสังคมกลับตรงกันข้าม คือเต็มไปด้วยความอยุติธรรมในสังคม มีการโกงน้ำหนักตาชั่ง โกงถังตวงข้าว คนที่ยากจนและขัดสนถูกเหยียบย่ำ มีการคอร์รัปชั่นกันทุกระดับ
หลังจากผ่านพ้นสมัยของอาโมสไปประมาณ 750 ปี ปัญหานี้ก็ยังคงอยู่ ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าจึงทรงยกอุปมาเรื่องผู้จัดการฉลาดแต่ทุจริตมาให้เราฟัง
ก่อนอื่นต้องขอย้ำว่าในอุปมาเรื่องนี้ ลูกาเขียนไว้ว่า “นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้นว่าเขาทำอย่างเฉลียวฉลาด” (ลก 16:8)
นั่นคือพระเยซูเจ้ามิได้ทรงชื่นชมการทุจริตของผู้จัดการคนนั้น แต่ทรงชื่นชมความเฉลียวฉลาดของเขา
ความเฉลียวฉลาดในตัวมันเองเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณค่าของมันขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันอย่างไร แน่นอนว่าบรรดาหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายต่างๆ มีความเฉลียวฉลาดมาก แต่กลับใช้ความเฉลียวฉลาดนั้นทำให้โลกไม่มีความสงบสุข หรือพวกที่ชอบใช้ Facebook หรือใช้ Line หลอกลวงผู้อื่นก็เป็นคนฉลาด แต่พวกเขาใช้ความฉลาดในทางที่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงยกอุปมาเรื่องนี้มาก็เพื่อกระตุ้นให้เราใช้ความเฉลียวฉลาดของเราอย่างมีคุณค่า คือไม่ใช่ใช้ในการทำมาหากินเท่านั้น แต่ใช้เพื่อแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าด้วย
ผู้จัดการทุจริตคนนั้นกำลังจะถูกไล่ออก นายสั่งว่า “จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป” ก็แปลว่าเขากำลังจะตกที่นั่งลำบาก และเขาก็รู้ตัวดีว่าหมดหนทางทำมาหากินแน่หากถูกไล่ออก เขาพูดกับตัวเองว่า “ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา” เขาจึงคิดแผนอันฉลาดหลักแหลมโดยการแก้บัญชีลูกหนี้เพื่อผลประโยชน์ในอนาคตของตนเอง เผื่อว่าจะมีลูกหนี้บางคนรับเขาไว้ในบ้านของเขา และก็เป็นความเฉลียวฉลาดเพื่ออนาคตนี่เองที่นายนึกชมเขา
วันนี้พระเยซูเจ้าจึงพูดแบบน้อยใจว่า “บุตรของโลกนี้มีความเฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความสว่าง” นั่นคือพระองค์ต้องการกระตุ้นเราทุกคนให้เป็นผู้จัดการที่เฉลียวฉลาดอย่างน้อยก็เทียบเท่ากับบุตรของโลกนี้
เราอาจจะถามตัวเองว่า “ฉันเนี่ยเหรอเป็นผู้จัดการ” ?
ใช่ พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้เป็นผู้จัดการ พระองค์ทรงไว้วางใจมอบสิ่งสร้างทั้งหมดไว้ในมือของเรา ให้เราเป็นผู้จัดการดูแลทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเนรมิตสร้างขึ้นมา
นอกจากนั้น พระเยซูเจ้ายังทรงไว้วางใจมอบพระอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งความรัก ความยุติธรรม และสันติสุขไว้ในมือของเรา ให้เราเป็นผู้จัดการดูแล หน้าที่ของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ นักบวช หรือฆราวาสก็ตาม ก็คือช่วยกันใช้ความเฉลียวฉลาดที่เรามีเพื่อทำให้อาณาจักรแห่งความรัก ความยุติธรรม และสันติสุขบังเกิดขึ้น โดยเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน
อย่าลืมว่า เรามีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานในตำแหน่งผู้จัดการนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ พระพรของพระจิตเจ้า หรือแม้แต่เวลา ไม่ช้าก็เร็ว พระองค์ก็จะพูดกับเราเช่นเดียวกับนายพูดกับผู้จัดการทุจริตว่า “จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า”
น่าทึ่งที่ผู้จัดการทุจริตผู้นี้ตระหนักถึงอันตรายในอนาคตหากถูกไล่ออกจากงาน แต่ทำไมเราจึงมัวแต่โกหกหลอกตนเองว่าเรายังปลอดภัย เรายังมั่นคง ราวกับว่าไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา?
เราไม่จำเป็นต้องรอจนถูกนายไล่ออกเหมือนผู้จัดการทุจริตจึงค่อยใช้ความเฉลียวฉลาดของเราแก้ปัญหา เราไม่จำเป็นต้องรอจนวินาทีสุดท้าย เราสามารถใช้ความเฉลียวฉลาดของเราตั้งแต่เวลานี้เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ และทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรแห่งความรัก ความยุติธรรม และความสงบสุข บังเกิดขึ้นในจิตใจของเรา และในสังคมทุกระดับของเรา
และหนึ่งในวิธีการที่นักบุญเปาโลสอนเราในบทอ่านที่สองวันนี้ก็คือ ให้เราสวดภาวนาเพื่อกษัตริย์และบรรดาผู้มีอำนาจ นักบุญเปาโลกล่าวว่า “ในขั้นแรกนี้ ข้าพเจ้าขอร้องให้วอนขอ อธิษฐาน อ้อนวอนแทน และขอบพระคุณพระเจ้าเพื่อมนุษย์ทุกคน เพื่อกษัตริย์และเพื่อผู้มีอำนาจ”
นักบุญเปาโลสอนเช่นนี้ ทั้งๆ ที่กษัตริย์ขณะนั้นคือจักรพรรดิ เนโร เป็นคนชั่วร้ายและเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างหนัก ก็เพื่อกษัตริย์และบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายจะได้ออกกฎหมายที่เป็นธรรม “เราจะได้มีชีวิตที่สงบสุขราบรื่น เป็นชีวิตที่มีเกียรติด้วยความเคารพรักพระเจ้า” และ “ทุกคนจะได้รับความรอดพ้น และรู้ความจริงที่สมบูรณ์” ตามพระประสงค์ของพระเจ้า (1 ทธ 2:2ข และ 2:4)
ในสมัยนั้นชาวโรมันถือว่าจักรพรรดิ์เป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อจักรพรรดิ์ตายก็จะกลายเป็นพระเจ้า นักบุญเปาโลจึงต้องการให้จักรพรรดิ์และบรรดาผู้มีอำนาจ ตลอดจนชาวโรมันได้รู้ความจริงที่สมบูรณ์ว่า “มีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว และพระเจ้ากับมนุษย์ก็มีคนกลางแต่เพียงผู้เดียวคือพระคริสตเยซู ผู้ทรงมอบพระองค์เป็นค่าไถ่สำหรับมนุษย์ทุกคน”
ทุกวันนี้มีหลายประเทศที่ความเชื่อของคริสตชนถูกเบียดเบียน ถูกห้ามแสดงออกอย่างเปิดเผย บางประเทศที่เป็นคาทอลิกดั้งเดิมก็ห้ามติดเครื่องหมายกางเขนในอาคารสาธารณะ และห้ามเด็กสวดในโรงเรียน คำว่า “สุขสันต์วันคริสต์มาส” ก็เปลี่ยนเป็น “สุขสันต์วันหยุด” เป็นต้น
วันนี้ ให้เราร่วมใจกันภาวนาเพื่อบรรดากษัตริย์และผู้มีอำนาจทั้งหลาย รวมทั้งเพื่อตัวเราเองด้วย ทุกคนจะได้ทำหน้าที่ผู้จัดการที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้อย่างเฉลียวฉลาดเพื่อร่วมกันสร้างอาณาจักรแห่งความรัก ความยุติธรรม และสันติสุข ให้บังเกิดขึ้นและดำรงอยู่ตราบชั่วกาลนาน