มีเรื่องเล่าเก่าแก่เรื่องหนึ่งเล่าว่า คนงานบนนั่งร้านคนหนึ่งกำลังซ่อมเพดานหลังคาอาสนวิหาร เขาก้มลงมาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังคุกเข่าสวดภาวนาอยู่หน้ารูปปั้นแม่พระ เขานึกตลกจึงกระซิบว่า “หญิงเอ๋ย นี่เราเยซูพูดนะ” หญิงผู้นั้นเฉยๆ เขาจึงกระซิบดังกว่าเดิมอีกว่า “หญิงเอ๋ย นี่เราเยซูกำลังพูดนะ” หญิงผู้นั้นก็ยังเฉยเหมือนเดิม ที่สุดเขาจึงพูดดังๆ ว่า “หญิงเอ๋ย ไม่ได้ยินเรารึไง? เราเยซูกำลังพูดนะ” คราวนี้หญิงคนนั้นเงยหน้ามองกางเขนแล้วก็พูดว่า “เงียบๆ หน่อยพระองค์ ดิฉันกำลังพูดอยู่กับแม่ของพระองค์นะ”
พี่น้องคงเห็นว่าเรื่องเล่านี้บ่งบอกถึงความศรัทธาที่เราคาทอลิกมีต่อแม่พระมากสักเพียงใด !
และเพราะความศรัทธานี้เอง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1950 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 จึงได้ออกสมณสาสน์ชื่อ Munificentissimus Deus (พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาอย่างที่สุด) ความว่า “โดยอาศัยอำนาจของพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าของเรา และโดยอาศัยอำนาจของอัครสาวกเปโตรและเปาโล รวมทั้งโดยอาศัยอำนาจของเราเอง เราแถลง เราประกาศ และเรากำหนดให้เป็นข้อความเชื่อที่พระเจ้าทรงไขแสดงว่า พระนางพรหมจารีมารีย์ พระมารดาของพระเจ้า ผู้ทรงปฏิสนธินิรมล หลังจากครบกำหนดเวลาในโลกนี้แล้ว ได้รับการยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณอย่างรุ่งโรจน์”
คำว่า “หลังจากครบกำหนดเวลาในโลกนี้” ยังเปิดช่องให้ถกเถียงกันว่า แม่พระสิ้นพระชนม์ก่อนรับการยกขึ้นสวรรค์หรือไม่ ?
บางคนสอนว่า บาปกำเนิดทำให้ความตายเข้ามาสู่โลก แม่พระทรงปฏิสนธินิรมลและได้รับการยกเว้นจากบาปกำเนิด แม่พระจึงไม่ตาย
แต่นักเทววิทยาส่วนใหญ่สอนว่า ความตายไม่ได้เป็นผลของบาปกำเนิด แต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แม่พระจึงควรอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติเช่นเดียวกับพระบุตรของพระแม่ คือตาย
กระนั้นก็ตาม ประเด็นสำคัญที่พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ต้องการประกาศให้เป็นข้อความเชื่อชนิดไม่รู้จักผิดพลาดในสมณสาสน์ฉบับนี้ไม่ได้อยู่ที่แม่พระตายหรือไม่ แต่อยู่ที่แม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ซึ่งพระศาสนจักรเชื่อมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว แม้จะพึ่งประกาศเป็นข้อความเชื่อเมื่อไม่นานมานี้เองก็ตาม
มาวันนี้ ประเด็นที่สำคัญกว่าและมีความหมายต่อเราทุกคนมากกว่าก็คือ ทำไมแม่พระจึงได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ? เป็นเพราะแม่พระเป็นผู้ให้กำเนิดพระเยซูเจ้าและเป็นพระมารดาของพระองค์หรือ ?
คำตอบก็คือใช่ แม่พระเป็นผู้ให้กำเนิดพระเยซูเจ้าและเป็นพระมารดาของพระองค์ เพราะแม้แต่นางเอลีซาเบธ ซึ่งไม่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของแม่พระมาก่อนเลย ยังกล่าวในพระวรสารวันนี้ว่า “ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า”
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย !
เพราะคำตอบสุดท้ายและเป็นคำตอบที่ทำให้เราทุกคนมีความหวังอย่างยิ่ง อยู่ที่พระวาจาของพระเยซูเจ้าคราวที่แม่พระและพี่น้องของพระองค์มาขอพบพระองค์ พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”(มธ 12:46-50)
แปลว่า ผู้ใดก็ตาม รวมถึงเราด้วย ไม่ใช่เฉพาะแม่พระ ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า ก็เป็นพี่น้องและเป็นมารดาของพระเยซูเจ้าด้วย
แล้วแม่พระปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าไหม ?
คำตอบก็อยู่ที่ถ้อยคำที่แม่พระพูดกับทูตสวรรค์นั่นแหละ แม่พระตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38)
ก็แปลว่าแม่พระปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า เราจึงได้ข้อสรุปว่าแม่พระไม่เป็นเพียงพระมารดาที่ให้กำเนิดพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่แม่พระยังเป็นพระมารดาของพระองค์เพราะได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าผู้สถิตในสวรรค์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าจะต้องเผชิญกับชะตากรรมใดบ้างตั้งแต่ตอบรับกับทูตสวรรค์จนกระทั่งพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระนาง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้แม่พระได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าทรงให้น้ำหนักมากกับการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า มากเท่ากับมารดาผู้ให้กำเนิดพระองค์เอง !
พระองค์ให้เหตุผลว่า ผู้ใดปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า หรือปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ พระบิดาจะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับพระองค์มาหาเขา จะทรงพำนักอยู่กับเขา (ยน 14:23) ซึ่งเท่ากับว่าผู้นั้นกำลังทำให้พระบิดาเจ้าและพระเยซูเจ้าเสด็จมาพำนักและถือกำเนิดขึ้นในชีวิตของเขา
ผู้นั้นกลายเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดพระเยซูเจ้าในชีวิตของตน
นอกจากนั้น การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า หรือเราจะเรียกว่าการนบนอบเชื่อฟังพระเจ้า หรือการรับใช้พระเจ้าก็ได้ ทั้งหมดนี้ก็คือการคิดเหมือนพระเจ้า รักและปรารถนาเหมือนพระเจ้า ซึ่งจะทำให้เราดำเนินชีวิตเหมือนพระเจ้า เป็นดังฉายาของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงสร้างเรามาตั้งแต่เริ่มแรก
การมีชีวิตเหมือนพระเจ้าคือจุดหมายสูงสุดในชีวิต เพราะไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่เหนือกว่าพระเจ้าอีกแล้ว เมื่อเราบรรลุถึงสิ่งที่สูงสุดในชีวิต จิตใจของเราย่อมพอ อิ่ม สงบ และเป็นสุข
เพราะฉะนั้น วันนี้ให้เราวอนขอพระแม่ โปรดช่วยเราให้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าอย่างดียิ่ง และโปรดให้วาทะของพระแม่ที่ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” ดังก้องอยู่ในจิตใจของเราผู้เป็น “ลูกแม่” ทุกคน ทั้งในวันนี้ที่เราสมโภชพระแม่รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ และทุกๆ วันตลอดไปด้วยเทอญ