Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 493

     นักบุญลูกาเล่าในพระวรสารวันนี้ว่า นักกฎหมายคนหนึ่งทูลถามพระเยซูเจ้าว่าจะต้องทำอย่างจึงจะได้ชีวิตนิรันดร คำตอบของพระองค์คือ เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร นอกจากจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติเอกคือ “รักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของเรา” แล้ว ยังจำเป็นที่เราจะต้องปฏิบัติตามกฎทอง นั่นคือ “ต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (ลก 10:27) อีกด้วย
     อันที่จริง กฎทองที่ต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้ ศาสนาอื่นๆ ก็สอนทำนองเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
ศาสนายิว – “สิ่งใดที่ท่านรังเกียจ จงอย่าทำสิ่งนั้นต่อผู้อื่น นี่คือส่วนสำคัญของธรรมบัญญัติ ที่เหลือเป็นเพียงส่วนประกอบ”
ศาสนาอิสลาม – “ไม่มีผู้ใดจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความเชื่อ จนกว่าเขาจะปรารถนาต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่เขาปรารถนาต่อตนเอง”
ศาสนาฮินดู – “หน้าที่ของท่านสรุปได้ว่า จงอย่าทำต่อผู้อื่นในสิ่งที่ท่านเจ็บปวดเมื่อถูกกระทำ”
ศาสนาพุทธ – “จงอย่าทำอันตรายต่อผู้อื่นในสิ่งที่ท่านเองพบว่ามันเต็มไปด้วยอันตราย” (อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)
ขงจื้อ (551–479 BC) – “สิ่งใดที่ท่านไม่ต้องการให้ผู้อื่นทำต่อท่าน จงอย่าทำสิ่งนั้นต่อผู้อื่น”
     ในเมื่อกฎทองเป็นที่รู้จักกันดีตั้งแต่โบราณ มียกเว้นก็เฉพาะศาสนาอิสลามที่มาภายหลังพระเยซูเจ้า แล้วทำไมพระองค์จึงทุ่มเทสอนให้เรารักผู้อื่นเหมือนรักตนเองราวกับว่าเป็นเรื่องใหม่?
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าแต่ละศาสนาต่างก็เข้าใจความหมายของกฎทองนี้แตกต่างกันไป พระองค์จึงต้องการให้ความหมายใหม่จริงๆ กับกฎทองนี้
และกุญแจสำคัญสำหรับเข้าใจความหมายใหม่ของพระเยซูเจ้าก็อยู่ตรงคำถามของหมอกฎหมายที่ถามพระองค์ว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” ที่ข้าพเจ้าจะต้องรัก?
สำหรับชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้า พวกเขาเข้าใจคำว่า “เพื่อนมนุษย์” ในใจความที่คับแคบมาก อย่างเช่นพวกเอสซีน ซึ่งเป็นชาวยิวนิกายหนึ่ง คล้ายกับพวกฟาริสีและสะดูสีแต่มีจำนวนน้อยกว่ามาก พวกเขาบังคับให้สมาชิกใหม่สาบานว่าจะรักบุตรแห่งความสว่างและเกลียดบุตรแห่งความมืด บุตรแห่งความสว่างสำหรับพวกเขาก็คือคนที่มีความเชื่อและนับถือศาสนาเดียวกันกับพวกเขา และคนพวกนี้เท่านั้นที่เป็นเพื่อนมนุษย์ของพวกเขา หรือชาวยิวอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่าพวก Zealots ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองคลั่งชาติที่ต้องการขับไล่พวกโรมันออกไปจากแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ สำหรับพวกเขาเพื่อนมนุษย์คือผู้ที่มีเชื้อชาติเดียวกัน และเผ่าพันธุ์เดียวกันกับพวกเขาเท่านั้น
     ซ้ำร้ายชาวยิวยังถือว่าชาวสะมาเรียไม่ใช่เพื่อนบ้านของพวกเขา แต่เป็นศัตรู พวกเขาไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ที่จะต้องรัก สังคมสมัยพระเยซูเจ้าจึงเป็นสังคมที่แยกเขาแยกเราอย่างชัดเจน คนที่อยู่ฝ่ายเราก็คือเพื่อนมนุษย์ คนที่อยู่ฝ่ายเขาก็คือคนแปลกหน้าและเป็นศัตรู
     แต่สิ่งใหม่จริงๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงพร่ำสอนอยู่เสมอก็คือ มนุษย์ทุกคนคือเพื่อนมนุษย์ของเรา นับจากนี้ไปจะต้องไม่มีสิ่งใดมาเป็นกำแพงแบ่งแยกระหว่างเรากับเขา หรือเขากับเรา
และวันนี้พระองค์ทรงยกการกระทำของชาวสะมาเรียผู้ใจดีมาเป็นตัวอย่าง ปกติชาวสะมาเรียคือศัตรูหมายเลขหนึ่งของชาวยิว แต่ก็เป็นชาวสะมาเรียนี่เองที่พิสูจน์ว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของชาวยิวที่ถูกโจรปล้น
เพราะฉะนั้น คำถามของนักกฎหมายที่ว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” คำตอบของพระเยซูเจ้าก็คือ “ทุกคน ไม่เว้นใครเลย”
     พี่น้องครับ สังคมไทยเราทุกวันนี้ก็ไม่ต่างไปจากสังคมยิวในสมัยพระเยซูเจ้า วันนี้จึงเป็นวันที่พระองค์ทรงเรียกร้องให้เราช่วยกันทำลายกำแพงที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกระหว่างคนที่เป็นพวกเดียวกับเรากับคนที่ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเรา
บางทีกำแพงที่แบ่งแยกเราก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา เรามองคนต่างศาสนาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ของเรา บางทีก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิด เช่น บางคนเป็นพวกอนุรักษ์นิยม บางคนเป็นพวกเสรีนิยม บางคนชอบพรรคการเมืองนี้ บางคนชอบพรรคการเมืองโน้น หรือบางทีกำแพงก็เป็นเรื่องของเชื้อชาติ สีผิว ฐานะทางสังคม คนในเมือง คนในชนบท ฯลฯ
     พี่น้องครับ ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนเราทุกคนให้รื้อกำแพงเหล่านี้ออกไป เพื่อจะได้ช่วยกันสานฝันของพระองค์ที่ทรงปรารถนาให้โลกใบนี้ทั้งใบ เป็นเพื่อนมนุษย์กัน ชนิดไม่มีขอบเขต และไม่มียกเว้นผู้ใดทั้งสิ้น