www.catholic.or.th

มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2017 น.เอเฟรม สังฆานุกรและนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือโทบิต                                              ทบต 11:5-17
     ในครั้งนั้น นางอันนากำลังนั่งมองดูทางที่บุตรของนางต้องเดินกลับมา นางคิดว่าเห็นบุตรกำลังเดินมา จึงพูดกับบิดาของโทบียาห์ว่า “ดูซิ ลูกชายของท่านกำลังเดินมาพร้อมกับชายที่ร่วมเดินทางไปด้วย” ราฟาเอลบอกโทบียาห์ก่อนที่เขาเข้าไปพบบิดาว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าดวงตาของบิดาของท่านจะหายบอด ท่านจงเอาดีปลาป้ายตาของเขา ยานี้จะทำให้แสบ แต่จะลอกฝ้าขาวออกจากดวงตาของเขา ดวงตาของบิดาของท่านจะไม่บอดอีกต่อไป แต่จะกลับเห็นแสงสว่างได้”
นางอันนาวิ่งเข้าไปพบเขาทั้งสองคน โอบกอดบุตรชายพลางพูดว่า “ลูกเอ๋ย แม่เห็นลูกอีกครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้แม่ตายได้” แล้วนางก็ร้องไห้ โทบิตลุกขึ้นคลำทางเดินผ่านลานบ้านไปที่ประตู โทบียาห์เดินเข้ามาหาบิดา ถือดีปลา เป่าลมไปที่ตาของบิดา จับบิดาไว้แน่น พูดว่า “ทำใจดีๆ ไว้ คุณพ่อ” แล้วจึงเอายาป้ายตา ทิ้งไว้ครู่หนึ่ง ใช้มือทั้งสองข้างลอกฝ้าขาวออกจากตา โทบิตเข้าสวมกอดบุตรชายและร้องไห้ พูดว่า “ลูกเอ๋ย ลูกเป็นแสงสว่างของดวงตาของพ่อ พ่อมองเห็นลูกแล้ว”
     แล้วเขาพูดต่อไปว่า “ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า ขอถวายพระพรแด่พระนามยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอถวายพระพรแด่ทูตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ของพระองค์ ขอพระนามยิ่งใหญ่ของพระองค์พิทักษ์รักษาเราไว้ตลอดกาล ขอถวายพระพรแด่ทูตสวรรค์ทุกองค์ของพระองค์ตลอดไป เพราะแม้พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าต้องเจ็บป่วย แต่แล้วก็ทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าแลเห็นโทบียาห์บุตรของข้าพเจ้าแล้ว”
     15โทบียาห์เข้าไปในบ้านด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าจนสุดเสียง แล้วจึงเล่าเรื่องการเดินทางที่ประสบความสำเร็จให้บิดาฟัง เล่าเรื่องเงินที่นำกลับมา และเล่าว่าเขาได้รับนางซาราห์ บุตรหญิงของรากูเอลเป็นภรรยา นางกำลังเดินทางตามมาอยู่ใกล้แล้วที่ประตูกรุงนีนะเวห์
     โทบิตจึงออกไปที่ประตูกรุงนีนะเวห์เพื่อพบภรรยาของบุตรชาย เขามีความยินดีและถวายพระพรแด่พระเจ้า เมื่อชาวนีนะเวห์เห็นเขาเดินอย่างกระฉับกระเฉงเหมือนแต่ก่อนโดยไม่ต้องมีคนจูง ต่างก็ประหลาดใจ โทบิตประกาศต่อหน้าทุกคนว่าพระเจ้าทรงพระเมตตาต่อตนและทรงเปิดดวงตาให้แลเห็นได้อีก โทบิตเข้าไปใกล้นางซาราห์ ภรรยาของโทบียาห์บุตรชาย อวยพรนางว่า “ลูกเอ๋ย ยินดีต้อนรับ ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าของลูก เพราะทรงนำลูกมาอยู่กับเรา ลูกเอ๋ย ขอบิดาของลูกจงได้รับพระพรเถิด ขอโทบียาห์ ลูกของพ่อจงได้รับพระพร ลูกเอ๋ย ขอลูกจงได้รับพระพรเถิด พ่อยินดีต้อนรับลูกในบ้านของลูกด้วยความยินดี ลูกจงเข้ามาเถิด”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 12:35-37
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ตรัสถามว่า “บรรดาธรรมาจารย์พูดได้อย่างไรว่าพระคริสต์เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด เพราะกษัตริย์ดาวิดเอง เมื่อได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ได้ตรัสว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
เชิญประทับนั่งเบื้องขวาของเรา
จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่าน
อยู่ใต้เท้าของท่าน
เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไร” ประชาชนจำนวนมากฟังพระองค์ด้วยความพอใจ

 

ข้อคิด
     ประชาชนถือกันว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ คำเทศน์คำสอนของพระองค์ฟังแล้วเข้าถึงจิตใจ พระองค์ไม่ทรงสอนความรู้และปรีชาญาณที่ส่งทอดกันมา แต่ทรงสอนเข้าถึงแก่นแห่งชีวิต คนฟังคำสอนของพระองค์แล้วรู้สึกมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี มีความสุขความยินดี พวกเขาจึงติดตามฟังพระองค์ กระทั่งลืมเวลา ลืมเรื่องปากเรื่องท้อง พระองค์ทรงค่อยๆนำพวกเขาให้เข้าถึงตัวตนพระองค์ที่แท้จริง นั่นคือ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ เป็นอาจารย์ ก็จริง แต่ทรงเป็นมากกว่านั้น ทรงเป็นพระเจ้าเสด็จมารับเอากายเป็นมนุษย์และสามารถเติมเต็มชีวิตพวกเขาได้อย่างแท้จริง ที่เคยคิดว่าพระคริสต์เป็นแค่โอรสของกษัตริย์ดาวิดจึงไม่ถูกต้อง