www.catholic.or.th

มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2017 ลึกถึง น.อิกญาซีโอ เด โลโยลา พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                              อพย 32:15-24,30-34
     ในครั้งนั้น โมเสสกลับลงมาจากภูเขาถือแผ่นศิลาจารึกสองแผ่นที่จารึกพระบัญญัติไว้ทั้งสองด้าน คือด้านหน้าและด้านหลัง ศิลาจารึกนั้นเป็นฝีพระหัตถ์พระเจ้า ตัวอักษรที่จารึกนั้นเป็นตัวอักษรที่พระเจ้าทรงจารึกลงบนแผ่นศิลา
โยชูวาได้ยินเสียงประชากรร้องตะโกน ก็บอกโมเสสว่า “มีเสียงรบกันดังมาจากค่าย” โมเสสตอบว่า
“นั่นไม่ใช่เสียงร้องของผู้ชนะ
ไม่ใช่เสียงคร่ำครวญของผู้แพ้
แต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเพลงฉลอง”
     เมื่อโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย เขาก็เห็นรูปลูกโคและเห็นประชากรกำลังเต้นรำ โมเสสโกรธมาก ทุ่มแผ่นศิลาที่ถืออยู่ลงไปจนแตกที่เชิงเขา เขาเอารูปลูกโคที่ประชากรหล่อมาเผา แล้วบดเป็นผงละเอียด โปรยลงในน้ำและบังคับให้ชาวอิสราเอลดื่มน้ำนั้น โมเสสถามอาโรนว่า “ประชาชนเหล่านี้ทำอะไรท่าน ท่านจึงทำให้เขาทำบาปหนักเช่นนี้” อาโรนตอบว่า “ขอเจ้านายอย่าได้โกรธข้าพเจ้าเลย ท่านรู้แล้วว่า ประชากรนี้มีความโน้มเอียงจะทำชั่วอยู่เสมอ เขาบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงสร้างรูปเคารพให้เราสักรูปหนึ่ง เพื่อเป็นผู้นำทางพวกเราเถิด เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสคนนั้น คนที่นำเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์’ ข้าพเจ้าจึงบอกเขาว่า ‘ใครมีทองคำบ้าง’ คนที่มีทองคำเป็นเครื่องประดับ ก็ถอดมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอาทองหลอมในไฟ ก็ได้ลูกโคตัวนี้ออกมา”
วันรุ่งขึ้น โมเสสกล่าวแก่ประชากรว่า “ท่านทั้งหลายได้ทำบาปหนักมาก บัดนี้ข้าพเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า บางทีคำอ้อนวอนของข้าพเจ้าจะทำให้พระองค์ทรงอภัยบาปของท่าน” โมเสสกลับขึ้นไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลว่า “ประชากรนี้ได้ทำบาปหนักมาก เขาได้นำทองคำมาสร้างรูปเคารพ บัดนี้ ขอพระองค์ทรงอภัยบาปให้เขาทั้งหลายเถิด มิฉะนั้นขอทรงลบชื่อของข้าพเจ้าออกจากหนังสือที่พระองค์ทรงเขียนไว้เถิด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “คนที่ทำบาปต่อเราต่างหาก ที่เราจะลบชื่อของเขาออกจากหนังสือของเรา บัดนี้ ท่านจงไปนำประชากรไปยังสถานที่ที่เราสั่งท่านเถิด ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าท่าน แต่เมื่อถึงเวลากำหนด เราจะลงโทษเขาทั้งหลายที่ทำบาป”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 13:31-35
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า
“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้”
พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า
“อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น”
พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า
เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา
เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนว่าพระอาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว อยู่ใก้ลแล้วแต่ บรรดาชาวยิวเห็นพระเยซูเจ้าและลูกศิษย์ 12 คน รวมเป็น 13 คน เพียงแค่นี้แล้วจะเริ่มต้นตั้งพระอาณาจักรสวรรค์ได้อย่างไร พระองค์จึงทรงตรัสอุปมาสอนเขาเพื่อไปขบคิดว่ามันมีลักษะที่เราเข้าใจไม่ได้ เหมือนเมล็ดพืชเล็กๆที่คนโบราณเมื่อยังไม่มีวิชาวิทยาศาสตร์เขาอธิบายไม่ได้ ว่าทำไมพอเมล็ดเล็กๆตกลงดินเน่าเปื่อยแล้วเกิดต้นอ่อนแต่พองอกขึ้นกลับกลาย เป็นต้นไม้ใหญ่โต พระอาณาจักรสวรรค์เป็นเรื่องที่อธิบายแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เพราะต้องใช้ความเชื่อ บางทีชาวยิวก็ยังติดนิสัยมาแต่โบราณพอไม่เห็นโมเสสก็ขอได้เห็นรูปลูกโคทองคำ แทน เป็นรูปแบบของคนยุคปัจจุบันที่ไม่ยอมเชื่อในพระเจ้า เอาแต่ข้อพิสูจน์เพียงวัตถุที่จับต้องได้ ห่างไกลจากเรื่องจิตวิญญาณในพระเจ้า