พระสันตะปาปาหวังคริสตชนเลิกมองความตายเป็นจุตจบของชีวิต / 4 พฤศจิกายน 2008 --------------------------------------------------------------------------------
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขสูงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรงคาดหวัง คริสตังจะเลิกมองความตายตามประสามนุษย์ กล่าวคือ ตายแล้ว ตายลับ ไม่เจอกันอีกในสวรรค์ โดยทรงขอให้ปรับมุมมองใหม่
ด้วยการยึดปรีชาญาณจากพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามพระคริสต์ เพราะเมื่อตายไป จะได้รับชีวิตนิรันดรในอาณาจักรสวรรค์ชัวร์ๆ
เมื่อช่วงเที่ยงวันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุของค์ที่ 265 แห่งพระ
ศาสนจักรคาทอลิก ทรงเป็นประธานในพิธีมิสซาอุทิศแด่ดวงวิญญาณของพระคาร์ดินัลและพระสังฆราชคาทอลิก ซึ่งสิ้นใจระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2007 ถึง ตุลาคม 2008 พิธีนี้ จัดขึ้นในมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน ท่ามกลางผู้ร่วมพิธีจำนวนมาก
ตอนต้นบทเทศน์ประจำมิสซา พระสันตะปาปา ทรงอ่านรายนามพระคาร์ดินัล 10 องค์ที่กลับสู่อ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้าในรอบปี
ที่ผ่านมา อันประกอบไปด้วย พระคาร์ดินัล สตีเฟ่น ฟูมิโอะ อามาโอะ (ญี่ปุ่น) พระคาร์ดินัล อัลฟอนส์ สติ๊กเลอร์ (ออสเตรีย) พระ
คาร์ดินัล อลอยซิโอ ลอร์สเชแดร์ (บราซิล) พระคาร์ดินัล ปีเตอร์ เดรี่ย์ (กานา) พระคาร์ดินัล อดอลโฟ่ ซัวเรส ริเอร่า (สเปน) พระ
คาร์ดินัล เอร์เนสโต้ อามาด้า (เม็กซิโก) พระคาร์ดินัล อัลฟอนโซ่ โลเปซ ตรูฆิลโล่ (โคลอมเบีย) พระคาร์ดินัล แบร์กนาแด็ง ก็อ
งแต็ง (เบนิน) พระคาร์ดินัล อันโตนิโอ อินโนเชนติ (อิตาลี) พระคาร์ดินัล อันโตนิโอ โฆเซ่ กอนซาเลส ซูมาร์ราก้า (เอกวาดอร์)
จากนั้น พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทรงเตือนสติทุกคน อย่ามองความตายด้วยความคิดประสาโลก แต่จงมองความตายด้วยปรีชาญาณจากพระเจ้า เพราะการมองแบบแรก(ประสาโลก) มันคงไม่ต่างจาก "ลาแล้ว ลาลับ" นั่นเอง
ประมุขผู้ทรงพระชนมายุ 81 ชันษา ตรัสว่า "พระเจ้าคือองค์ปรีชาญาณและความสมบูรณ์เที่ยงแท้ ซึ่งไม่เสื่อมสลายไป
ตามกาลเวลา พระเจ้าคือความชื่นชมยินดีที่ก้นบึ้งของหัวใจมนุษย์ อยากไขว่คว้ามาครอบครอง สัจธรรมความจริงข้อนี้ ถูกกล่าวถึงในหนังสือปรีชาญาณ และถูกกล่าวซ้ำอีกครั้งในพันธสัญญาใหม่ นี่คือสิ่งเติมเต็มชีวิตและคำสั่งสอ
นของพระเยซูเจ้าให้สมบูรณ์แบบ ถ้ามองความตายด้วยปรีชาญาณของพระเจ้า เราจะพบว่า ความตายทำให้เราค้นพบความจริงข้อหนึ่ง นั่นคือ ความเก่งกาจตามประสาโลก แท้จริงแล้ว เป็นแบบไม่เที่ยงแท้ เพราะเมื่อถึงวันที่เร
าตายไป สิ่งเหล่านี้ ก็หมดความหมายลงทันที"
"เราทุกคนที่เดินทางอยู่ในโลกนี้ เมื่อถึงวันหนึ่ง เราก็ต้องตาย ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเราทุกคนเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า ไม่มีใครในพวกเราที่เป็นพระเจ้า นี่คือความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ พระเจ้าคือองค์ความจริงไ
ม่มีวันสูญสลาย กระนั้น พระองค์ก็ประทานพระหรรษทานให้เรามีบางสิ่งคล้ายกับพระองค์ นั่นคือ พระพรแห่งการมีเสรีภาพ ในเมื่อพระเจ้าประทานเสรีภาพให้เราแล้ว เราก็ต้องใช้พระพรนี้(เสรีภาพ) ดำเนินชีวิตเพื่อผู้อื่นด้วย ไ
ม่ใช่มีชีวิตเพื่อตนเพียงอย่างเดียว"
"ปรีชาญาณจากพระเจ้า ยังสอนเราอีกว่า การตายจากโลกนี้ ไม่ใช่การตายแบบลาขาดจากกัน มนุษย์ทุกคนก้าวผ่
านความตายทางโลก เพื่อไปรับชีวิตนิรันดรในอาณาจักรสวรรค์โดยผ่านทางการดำเนินชีวิตตามแบบพระเยซูคริสตเจ้า ผู้เอาชนะความตายด้วยการกลับคืนพระชนม์ชีพ"
"พี่น้องที่รัก พ่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ปรีชาญาณจากพระเจ้า จะทำให้เรากล้าเผชิญกับความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาคนที่เรารักกำลังได้จากไป อาทิ บรรดาพระคาร์ดินัลและพระสังฆราชผู้ล่วงลับเหล่านี้ เมื่อครั้งยังมีชีวิต
พวกท่านได้เลือกเดินตามพระคริสตเจ้า ทั้งในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และรับใช้ผู้อื่น ดังนั้น พ่อมั่นใจว่า พระคริสตเจ้าทรงต้อนรับพวกท่าน ให้ได้รับเสรีภาพในการเป็นลูกของพระองค์ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว" พระสันตะปาปา ตรัสปิด
ท้าย อนึ่ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2007 ถึง ตุลาคม 2008 มีพระคาร์ดินัล สิ้นใจ 10 องค์ พระสังฆราช สิ้นใจ 103 องค์
|