พระสันตะปาปาย้ำความฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องรับไม่ได้ถ้าปัญหาความอดอยากยังมีให้เห็น / 18 พฤศจิกายน 2009 --------------------------------------------------------------------------------
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงยืนยันอย่างหนักแน่น หากปัญหาอดอยากหิวโหย ยังคงปรากฏให้เห็นในสังคม การใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยและกินอาหารแบบทิ้งๆขว้างๆ ก็เป็นเรื่องรับไม่ได้ พร้อมกันนี้ ทรงประณามความโลภตามประสามนุษย์ เฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่ชอบกักตุนอาหาร
แล้วมาขายเอากำไรแบบขูดเลือดขูดเนื้อ
เมื่อช่วงสายวันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้เสด็จไปกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุมสุดยอดว่าด้วยความมั่นคงอาหารโลกขององค์การสหประชาชาติ (United Nations' World Summit on Food Security) งานดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2009 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยวัตถุประสงค์ของงานมีเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาความอดอยากที่แผ่ขยายไปทั่วโลก รวมถึงเพื่อแก้ปัญหาการแสวงหากำไรจากการขึ้นราคาอาหารแบบไม่คำนึงถึงผู้ยากไร้
ตามสถิติขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ถึงตอนนี้ มีคนกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกที่กำลังขาดสารอาหารและเผชิญปัญหาความอดอยาก ยิ่งไปกว่านั้น ทุกๆ 6 วินาที จะมีเด็ก 1 คนที่ตาย เนื่องจากความอดอยาก พระสันตะปาปาทรงรับทราบข้อมูลนี้เป็นอย่างดี พระองค์จึงตรัสในตอนต้นของสุนทรพจน์ว่า "ความอดอยากหิวโหยคือเครื่องหมายอันโหดร้ายและเป็นรูปธรรมที่สุดของความยากจน ทุกวันนี้ เราพยายามหามาตรการป้องกัน ทั้งการออกกฏหมายและออกแผนพัฒนาต่างๆ แต่มันก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ตราบใดที่
เรายังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและลักษณะการดำเนินชีวิต ฉะนั้น การใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยและกินอาหารแบบทิ้งขว้าง จึงเป็นเรื่องมิอาจรับได้ ถ้าตราบใดที่โศกนาฏกรรมจากความอดอยาก ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ"
ปัจจุบัน มีพ่อค้าหลายรายพยายามผลักดันราคาพืชผลทางการเกษตรและวัตถุดิบในการทำอาหารให้สูงขึ้น พร้อมยกเหตุผลต่างๆนาๆมาอ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนพวกนี้ทำไปเพื่อรักษาผลกำไรของตนเองมากกว่า พระสันตะปาปาจึงตรัสประณามนิสัยเสียเช่นนี้ว่า "การที่ประชากรโลกเพิ่ม
ไม่ได้ส่งผลโดยตรงให้เกิดการขาดแคลนอาหาร เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถผลิตอาหารเลี้ยงคนทั่วโลกได้เพียงพอ ดังนั้น การที่คนบางกลุ่มขึ้นราคาวัตถุดิบในการทำอาหาร โดยอ้างว่า เกิดภาวะอาหารขาดแคลน จึงเป็นการตัดช่องทางการบริโภคอาหารของคนยากจนอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าขอประณามการกระทำลักษณะนี้ เพราะเมื่อเราพิจารณาเชิงความสัมพันธ์และเหตุผล เราจะพบว่า มันไม่มีความสัมพันธ์แต่อย่างใด ระหว่างการเพิ่มประชากร การขาดแคลนอาหาร และความหิวโหย ทุกอย่างมันอยู่ที่พฤติกรรมการบริโภคและความโลภของคนต่างหาก"
"ทุกประเทศต้องสกัดกั้นการแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียกับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร เราต้องมีมุมมองกว้างๆและมองให้ลึกถึงต้นตอของปัญหานั่นคือความโลภ สิ่งนี้(ความโลภ)คือตัวการทำให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นราวกับเป็นสินค้าโภคภัณฑ์(หมายถึงน้ำมันและทอง) สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานก็คือมนุษย์ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการบริโภคอาหาร เราจึงต้องช่วยยับยั้งการปั่นราคาอาหาร ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกคน เฉพาะอย่างยิ่ง คนยากจน สามารถบริโภคได้อย่างทั่วถึง" พระสันตะปาปา ตรัสในตอนท้าย
อนึ่ง
พระสันตะปาปาทรงกล่าวปิดสุนทรพจน์ ด้วยการตรัสขอบคุณเป็นภาษาต่างๆ 6 ภาษา ได้แก่ อาราบิก, จีน, รัสเซีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส และสเปน พระดำรัสดังกล่าว มีใจความว่า "ข้าพเจ้าขอขอบคุณองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติและบรรดาสมาชิกทุกคน ที่ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้รับอาหารสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน" |