มิสซา 1 ล้านคน!! พระสันตะปาปาขอชาวแองโกลาให้อภัยและคืนดีกัน / 23 มีนาคม 2009
-------------------------------------------------------------------------------- สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขสูงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรงเรียกร้องชาวแองโกลาดำเนินชีวิตดุจความสว่างส่องโลก
ด้วยการรู้จักให้อภัยและคืนดีกัน พร้อมกันนี้ ทรงย้ำพระสังฆราชทุกองค์ จงอย่ากลัวที่จะกระตุ้นคนในชาติให้ปรับความเข้าใจกัน แม้ต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านก็ตาม สุดอาลัย เมื่อพระสันตะบิดาร่วมแสดงความเสียใจต่อเหตุเยาวชนหญิงเหยียบกันตาย หลังมารับฟังโอวาทจากพระองค์
เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุของค์ที่ 265 แห่งพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงเริ่มต้นพันธกิจแรกของวันรองสุดท้ายในกาฬทวีป ด้วยการเป็นประธานในพิธีมิสซาซึ่งจัดที่ลานคิมันโกล่า
ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด แต่ก็มิอาจหยุดยั้งความศรัทธาอันร้อนรนของสัตบุรุษกว่า 1 ล้านคนได้ โดยมิสซานี้ พระสันตะบิดาทรงเรียกร้องการให้อภัยเพื่อสร้างสันติในหมู่ชาวแองโกลา นอกจากนี้ ทรงเชิญชวนสัตบุรุษสวดภาวนา เพื่อเยาวชนหญิงซึ่งเสียชีวิตจากเหตุเหยียบกันตายจนขาดอากาศหายใจ ก่อนกระตุ้นพระสังฆราชว่า อย่ากลัวที่จะส่งเสริมสังคมให้คืนดีกัน
ช่วงเริ่มพิธี พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงเหตุสลด ระหว่างการให้โอวาทกับเยาวชนที่สนามกีฬาโคเคยรอช เมื่อเยาวชนหญิง 2 คนสิ้นใจจากเหตุเหยียบกันตาย
พระองค์จึงขอพระเจ้าโปรดประทานการพักผ่อนตลอดนิรันดรแก่พวกเขาด้วย "พ่อขอร่วมเป็นทุกข์อย่างสุดซึ้งไปกับครอบครัวเยาวชนหญิงทั้ง 2 คนซึ่งเสียชีวิตระหว่างมาต้อนรับพ่อ มิสซานี้ พ่อจึงขอคำภาวนาเป็นพิเศษสำหรับดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ ขอพระเยซูทรงรับพวกเธอเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ และขอพระองค์โปรดประทานการเยียวยารักษามายังเยาวชนที่ได้รับบาดเจ็บ ให้หายโดยเร็ววันด้วย"
สำหรับบทเทศน์ประจำมิสซา พระสันตะปาปาทรงนำเรื่อง "สันติภาพ การให้อภัย การคืนดี และความยุติธรรม" มาสอนใจสัตบุรุษ
เพราะพระองค์ทราบดีว่า แองโกลากำลังถวิลหาสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก หลังต้องประสบสงครามกลางเมืองมานาน 27 ปีเต็ม (ค.ศ.1975-2002) จนทำให้มีคนล้มตายไปกว่า 500,000 ศพ
พระสันตะปาปา ตรัสว่า "เมื่อพระวาจาของพระเจ้าถูกเมินเฉยอย่างไม่ใยดี เมื่อพระบัญญัติของพระเจ้าถูกเย้ยหยันว่าเป็นเรื่องล้าสมัย เมื่อมนุษย์ปฏิเสธเสียงเรียกให้มาเป็นลูกของพระบิดาผู้ทรงพระทัยเมตตา เมื่อนั้น พลังทำลายล้างซึ่งเกิดจากความขัดแย้ง การปลูกฝังความรู้สึกต้องล้างแค้น ก็จะเกิดขึ้นทันที"
"ผลของการทำลายล้างและความพินาศที่เกิดจากสงคราม ถูกสะท้อนผ่านทางการดำเนินชีวิตของชาวแองโกลา มันเป็นความจริงอย่างยิ่งที่สงครามทำลายคุณค่าทุกอย่างของคนในชาติ (2 พงศาวดาร 36:19) มันทำลายครอบครัว สังคม และความหวังในการดำเนินชีวิตให้แตกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี การประสบภาวะสงครามไม่ได้เกิดกับแองโกลาเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นกับทุกประเทศในแอฟริกาก็ว่าได้ ถึงตอนนี้ ยังมีความมืดอีกเท่าไหร่ที่ปกคลุมโลก มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ต้องเห็นเมฆแห่งความชั่วร้ายปกคลุมทวีปแอฟริกา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแองโกลาประเทศที่รักยิ่งของชาวเรา"
พระวรสารประจำวันอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต พระเยซูทรงกล่าวว่า "ความสว่างเข้ามาในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำชั่วย่อมเกลียดความสว่าง" (จอห์น 3:14-21) พระสันตะปาปาจึงเปรียบสงครามที่เคยเกิดกับแองโกลาเป็นความมืด ดังนั้น คริสตังต้องรับเอาความสว่างที่พระเจ้าประทานให้ไปมอบให้กับทุกคน ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการให้อภัยและคืนดีกัน
ผู้นำชาวคาทอลิกทั่วโลก ตรัสว่า
"พระเจ้าทรงสร้างเราให้มีชีวิตอยู่ในความสว่าง เราก็ต้องเป็นความสว่างส่องโลกด้วย ความสว่างที่พวกท่านสามารถมอบให้กับประเทศของตน มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความยุติธรรมและสันติ การให้อภัย การสร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง การยึดมั่นหลักคำสอนของศาสนา การดำเนินชีวิตด้วยความชื่นชมยินดี การตระหนักคุณค่าคำแนะนำจากผู้อาวุโส รวมไปถึงการรับฟังความคิดเห็นของผู้เยาว์วัย ส่วนความมืด พวกท่านก็ได้ประสบแล้ว ในรูปแบบของสงคราม ความอดอยาก การคอร์รัปชั่น และการปฏิเสธพระเจ้า"
"ดังนั้น
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเป็นแสงสว่างส่องโลก จงอย่ากลัวที่จะทำสิ่งนี้ พ่อขอให้พระสังฆราชทุกองค์ ทำทุกทางเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สังฆมณฑลที่ท่านปกครองเป็นชุมชนที่เปี่ยมด้วยความสว่างจากพระวาจาของพระเจ้า จงนำความสว่างนี้ไปมอบให้กับทุกคนที่โกรธเกลียดกันอยู่ ได้คืนดีและปรับความเข้าใจกัน จงอย่ากลัวที่จะทำสิ่งนี้ แม้มันจะทำให้เราเผชิญหน้ากับการต่อต้านก็ตาม (ลูกา 2:34) แต่จงตระหนักเสมอว่า เราเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการนำความรักไปมอบให้กับทุกคน"
ตอนท้าย
พระสันตะปาปาทรงทักทายบรรดาเยาวชนอีกครั้ง หลังเมื่อวานนี้ พระองค์ทรงขอให้พวกเขาเลิกใช้ชีวิตเสเพล แต่จงเลือกทางเดินชีวิตว่า จะเป็นศาสนบริกรผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือจะเป็นฆราวาสที่ดีของพระศาสนจักร ส่วนวันนี้ พระสันตะปาปาผู้เคยเป็นประธานงานเยาวชนโลกมาแล้ว 2 ครั้ง ทรงขอร้องพวกเขาให้ดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงพระวรสารอย่างแน่วแน่ตลอดไป
"ลูกๆเยาวชนที่รัก จงแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า ด้วยการรับฟังพระวาจาและนำพระบัญญัติ(ความรัก)ของพระองค์มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าลูกทำได้แบบนี้
ลูกจะเป็นประกาศกผู้ประกาศความรักของพระเจ้าให้โลกรู้ ขอให้ลูกเป็นผู้ประกาศข่าวดีให้กับเพื่อนๆ จงพาพวกเขามารู้จักความงดงามและความจริงแห่งพระวรสาร ผ่านทางการดำเนินชีวิตของลูก"
"พ่อขอย้ำอีกครั้งว่า พระศาสนจักรต้องการให้ลูกเป็นประจักษ์พยานถึงพระวรสาร ดังนั้น จงอย่ากลัวที่จะตอบรับพระสุรเสียงของพระเจ้า ต่อให้เสียงเรียกนี้จะมาในรูปแบบของพระสงฆ์ นักบวช หรือฆราวาส มันก็เป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้กับลูกๆของพระองค์เหมือนกัน" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย
หลังจากพิธีมิสซาจบลง
พระสันตะปาปาทรงนำสวดเทวทูตถือสาร โดยใจความสำคัญก่อนนำภาวนา พระสันตะบิดาทรงฝากการประชุมสมัชชาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งทวีปแอฟริกาไว้กับแม่พระ พร้อมกันนี้ ทรงเชิญชวนทุกคน สวดภาวนาเพื่อให้ทวีปแอฟริกาก้าวไปข้างหน้าด้วยความหวังในพระเจ้า |