พระสันตะปาปาย้ำหน้าที่สำคัญสุดของการเป็นสงฆ์คือรับใช้ทุกคน / 21 มีนาคม 2008
-------------------------------------------------------------------------------- เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขสูงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก
ทรงเป็นประธานในพิธีมิสซารื้อฟื้นคำสัญญาของการเป็นสงฆ์ รวมทั้งการเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ โดยพิธีนี้ จัดขึ้นภายในมหาวิหารซาน เปียโตร ท่ามกลางพระคาร์ดินัล,พระสังฆราช,พระสงฆ์กว่า 1,600 คน สำหรับบทเทศน์ในมิสซานี้
พระสันตะปาปาทรงกล่าวให้ข้อคิดบรรดาสงฆ์แห่งพระคริสต์ด้วยการย้ำให้พวกเขาซื่อสัตย์ต่อความจริงอยู่เสมอ เพราะการเป็นสงฆ์หมายถึงการยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าและสัตบุรุษ ดังนั้น
ต้องปฏิบัติตนเป็นผู้นำสัจธรรมและความรักจากพระเจ้าไปมอบให้มนุษย์ทุกคน พร้อมกันนี้ พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ยังย้ำด้วยว่า การเป็นสงฆ์คือการพร้อมรับใช้ผู้อื่นตลอดเวลา รับใช้ในที่นี้ไม่ใช่รับใช้แค่การอภิบาลเท่านั้น
แต่ต้องรับใช้ทุกอย่างที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดา พระสันตะปาปาเริ่มต้นเทศน์สอนว่า "การเป็นสงฆ์ของพระคริสตเจ้ามีความหมายอยู่ 2 ประการ
หนึ่งคือการเป็นสงฆ์หมายถึงเรายืนอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้าผู้เป็นองค์ความจริง พระองค์คือศีลมหาสนิทซึ่งเป็นศูนย์กลางของชีวิตสงฆ์ และในเวลาเดียวกัน การเป็นสงฆ์ยังหมายถึงการที่เรายืนอยู่ต่อหน้าประชาสัตบุรุษเพื่อรับใช้ทุกคน
สงฆ์แห่งพระคริสต์ต้องปกป้องสัตบุรุษจากการประจญล่อลวงทุกชนิด เราต้องกระตุ้นโลกให้ตื่นตัวเพื่อรับฟังพระวาจาของพระ นอกจากนี้ การเป็นสงฆ์ยังหมายถึงการซื่อสัตย์ต่อสัจธรรมความจริง,อุทิศตนให้กับสิ่งดีงาม
เรา(สงฆ์)จะยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าเพียงคนเดียวไม่ได้ เราต้องทำให้ประชากรทุกคนได้ไปยืนในจุดเดียวกับเราเช่นกัน จงจำไว้ว่า
สงฆ์ของพระคริสต์ต้องสัตย์ซื่อต่อความจริงและพร้อมจะน้อมรับความยากลำบากที่พระเจ้าประทานมาให้อยู่เสมอ" พระสันตะปาปาทรงอธิบายความหมายที่สองของการเป็นสงฆ์ว่า "ความหมายที่สองของการเป็นสงฆ์ก็คือการรับใช้
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายมิติ สิ่งสำคัญที่สุดที่สงฆ์ทุกคนต้องรับใช้คือการอภิบาลสัตุบุรษทางพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ เราต้องเรียนรู้และเข้าใจให้มากว่า พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
มีความสำคัญและช่วยพัฒนาการดำเนินชีวิตให้แนบชิดสนิทสัมพันธ์กับพระได้อย่างไร เช่นเดียวกัน เราต้องเรียนรู้ที่จะสวดภาวนาอย่างสม่ำเสมอ นี่คือหนทางที่พระตรัสกับเรา และช่วยให้เราเทศน์สอนสัตบุรุษได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น"
"ที่พ่อบอกว่า การรับใช้มีความหมายหลายมิติก็เพราะ ไม่มีผู้ใดสามารถรับใช้ผู้อื่นได้ใกล้เคียงกับพระอาจารย์เจ้า(พระเยซู) ดังนั้น สำหรับพวกเราทุกคน
การรับใช้จึงหมายถึงการเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิด แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องรับใช้ทุกสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดา เหมือนอย่างที่พระเยซูตรัสว่า ถ้าพระบิดาทรงพอพระทัย ขอจงนำถ้วยนี้ให้พ้นไปจากลูกเถิด
กระนั้นก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจลูก แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์(ลูกา 22:42) พ่อจึงอยากเตือนสติทุกคนว่า เราไม่ได้เป็นสงฆ์เพื่อประกาศตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ แต่เราเป็นสงฆ์เพื่อประกาศพระนามและพระวาจาของพระองค์"
"ถ้าเราทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราก็จะพบอิสรภาพที่แท้จริงในการดำเนินชีวิต การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าคือการเชื่อฟังพระองค์
การเชื่อฟังพระเจ้าสามารถทำได้ด้วยการยึดมั่นและรับใช้พระศาสนจักร เหมือนกับที่พระเยซูตรัสกับนักบุญเปโตรว่า เขาจะนำท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป แต่นักบุญเปโตรก็ไปตามทางนั้น เพื่อไปรับใช้สัตบุรุษผู้เป็นประชากรของพระเจ้า
นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่ทำให้เราเป็นอิสระ ถ้าเรามอบตัวเองให้พระเจ้านำทาง แม้ทางที่เราจะเดินไปนั้น จะพบกับอุปสรรคร้ายๆมากมาย แต่ในที่สุด เราก็จะพบและประสบกับความรักอันมั่นคงของพระองค์" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย
|