พระสันตะปาปาย้ำแม้เรามีความต่างแต่ศีลล้างบาปรวมเราให้เป็นหนึ่ง / 23 มีนาคม 2008
-------------------------------------------------------------------------------- สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขสุงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก
ทรงยืนยันถึงความสำคัญของศีลล้างบาปว่าจะรวมเราทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวกันในองค์พระเจ้า แม้ก่อนหน้านี้ เราจะมีความแตกต่างทางเชื้อชาติวัฒนธรรมก็ตาม
โดยพระองค์ตรัสเรื่องนี้ในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีการโปรดศีลล้างบาปให้กับคริสตังใหม่ 7 คน หนึ่งในนี้ มีนักข่าวมุสลิมชื่อดังของอิตาลีรวมอยู่ด้วย พิธีคืนตื่นเฝ้าปาสกา ณ มหาวิหารซาน เปียโตร มีขึ้นในเวลา 21.00
น.(ตรงกับ 03.00 น.ของเช้าวันอาทิตย์ที่ 23 มี.ค.ในเมืองไทย) สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงเป็นประธานในพิธีร่วมกับพระคาร์ดินัลประมาณ 30 องค์ ก่อนหน้าพิธีจะเริ่มขึ้น
ได้มีการดับไฟภายในมหาวิหารเพื่อทำพิธีเสกไฟและจุดเทียนปาสกาอันเป็นเครื่องหมายถึงพระคริสตเจ้าทรงเป็นองค์ความสว่างของมนุษยชาติ จากนั้น ขบวนแห่ได้เข้าสู่พระแท่นไปจนถึงการประกาศสมโภชปาสกาอย่างสง่า แล้วพิธีจึงดำเนินต่อไปตามปกติ
ในส่วนใจความสำคัญของบทเทศน์ประจำมิสซา พระสันตะปาปาองค์ที่ 265 แห่งประวัติศาสตร์พระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรงเน้นเรื่องความสำคัญของศีลล้างบาปว่ารวมเราให้เป็นหนึ่ง เนื่องจากพิธีนี้
จะมีการโปรดศีลล้างบาปให้กับคริสตังใหม่จำนวน 7 คน หนึ่งในนี้มี "มักญี่ อัลลาม" ผู้สื่อข่าวมุสลิมชาวอิตาเลี่ยนเชื้อสายอียิปต์รวมอยู่ด้วย ส่วนที่เหลือประกอบไปด้วยชายชาวแคเมอรูนและสตรีอีก 5
คนจากอิตาลี,จีน,สหรัฐอเมริกา,เปรู พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตรัสว่า "ผู้มีความเชื่อทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาป จะไม่มีความแตกต่างในหมู่พวกเขาอีกต่อไป แม้ก่อนหน้านี้
พวกเขาอาจมาจากต่างทวีป,ต่างวัฒนธรรม,มีความต่างทางฐานะทางสังคม แต่เมื่อทุกคนได้เกิดใหม่โดยอาศัยศีลล้างบาป ความแตกต่างเหล่านี้จะถูกทำลายไป ทุกคนจะมีพระเจ้าองค์เดียวกัน มีความเชื่อ,ความหวัง,ความรักเดียวกันหมด
เราจะมีพื้นฐานการดำเนินชีวิตเหมือนกันทุกคน ผู้มีความเชื่อในพระเจ้าจะไม่มีความแปลกแยกอีกต่อไป เราได้รับการรวมให้เป็นหนึ่งอาศัยพระธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าซึ่งประทับอยู่ภายในตัวเรา
ความเชื่อจะเป็นแรงขับเคลื่อนสันติภาพและการคืนดีกันให้กับโลก ความเหินห่างจากพระเจ้าได้ถูกทำลายไป บัดนี้ พระคริสตเจ้าได้มาประทับอยู่ใกล้เราแล้ว (เอเฟซัส 2:13)" "อาศัยศีลล้างบาป
พระเยซูทรงทำให้เราได้ใกล้ชิดกับพระองค์ พระองค์นำเราเข้าสู่ชีวิตอันเที่ยงแท้ พระองค์ทรงจับมือเราและนำเราก้าวผ่านความสับสนและภยันตรายทั้งปวง ดังนั้น ขอให้เราจับมือพระองค์ให้แน่นเข้าไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าอะไรเข้ามาทำร้ายเรา ขอให้เราอย่าปล่อยมือของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงนำเราเข้าสู่หนทางแห่งชีวิตนิรันดร" จากนั้น พระสันตะปาปานักเทวศาสตร์ ทรงอธิบายความหมายของศีลล้างบาปสมัยโบราณ พระองค์ตรัสว่า
"สมัยพระศาสนจักรยุคแรกเริ่ม ศีลล้างบาปมีชื่อเรียกว่า ศีลแห่งความสว่าง (The Sacrament of Illumination)
ที่เราเรียกแบบนี้ก็เพราะความสว่างของพระเจ้าได้ส่องแสงเข้ามาในตัวเราและเราก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรขององค์ความสว่างซึ่งก็คือพระเจ้านั่นเอง ดังนั้น เราต้องไม่ปล่อยให้แสงสว่างแห่งความจริงดับสูญไป
เราต้องป้องกันภยันตรายต่างๆที่จะมาทำให้ความสว่างนี้ดับลง บางคนอาจคิดว่า ความมืดก็ดีเหมือนกัน เพราะทำให้เราสามารถซ่อนตัวได้ ความมืดทำให้เรานอนหลับพักผ่อนได้ แต่อย่าลืมว่า พระเจ้าเรียกเราให้มาเป็นความสว่างส่องโลก
ไม่ได้เรียกเราให้มาเป็นความมืดปกคลุมโลก" "ต่อจากนี้ เราทุกคนจะร่วมรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลล้างบาป พ่อขอให้ทุกคนหนักแน่นว่า จะกี่ปีผ่านไป
เราก็กล้าประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า
เราถูกสร้างมาโดยพระเจ้าองค์ความสว่าง,เราเชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้า,เชื่อเรื่องการลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์โดยอาศัยพระจิตเจ้า,เชื่อเรื่องการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนม์ชีพจากความตาย,เชื่อเรื่องการได้รับชีวิตนิรันดร"
"จงจำไว้ว่า พระเจ้าทรงมอบแสงสว่างแห่งความจริงให้กับเรา แสงสว่างนี้คือไฟแห่งความรักของพระองค์ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้ แสงสว่างแห่งความจริงนี้
พระเจ้าทรงมอบเพื่อให้เราเปลี่ยนจิตใจเสียใหม่ และเมื่อนั้น เราจะได้กลายเป็นบุตรของพระองค์และพร้อมจะเป็นผู้สร้างสันติให้กับโลกตลอดไป" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย
|