ค้นหาข้อมูล :

พระสันตะปาปาหวังคริสตังดูแม่พระเป็นแบบอย่างด้านความเชื่อ   /14 กันยายน 2009
--------------------------------------------------------------------------------
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงหวังเห็นคริสตังดูแบบอย่างแม่พระ เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตดุจประจักษ์พยานความเชื่อ แม้ต้องทนทุกข์สาหัสขนาดไหนก็ตาม พร้อมกันนี้ ทรงย้ำชัด คนที่ปากบอกรักพระ แต่จิตใจยังเกลียดชังเพื่อนมนุษย์ คนประเภทนี้จัดเป็นพวกรักพระแบบหลอกๆนั่นเอง
 
เมื่อช่วงเที่ยงวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงเป็นประธานในการนำสัตบุรุษกว่า 4,000 คน สวดเทวทูตถือสาร ณ ลานหน้าพระราชวังฤดูร้อน เขตคาสเตล กันดอลโฟ โดยใจความสำคัญของสิ่งที่พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ตรัสแบ่งปัน พระองค์ทรงยกแม่พระเป็นครูสอนเรื่องการเป็นประจักษ์พยานความเชื่อในพระเจ้าตลอดเวลา แม้ต้องพบความจริงอันโหดร้าย อาทิ ในยามพระบุตรทรงถูกตัดสินประหารชีวิตและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก่อนจะเตือนสติคริสตังว่า รักพระ อย่ารักแต่ปาก เพราะถ้ารักจริง ก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระด้วย

วันอังคารนี้ (15 กันยายน) พระศาสนจักรกำหนดให้เป็นวันระลึกถึงแม่พระมหาทุกข์ พระสันตะปาปาจึงแบ่งปันเรื่องดังกล่าวว่า "พระนางพรหมจารีย์มารีอาเป็นผู้ที่ยึดมั่นพระวาจาของพระเจ้าตลอดเวลา พระนางไม่เคยสูญเสียความศรัทธาในพระเจ้า แม้ในยามที่ต้องทนเห็นพระบุตรถูกปฏิเสธ, ใส่ร้าย และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แม่พระก็ยังคงยืนหยัดเคียงข้างพระเยซูตลอดเวลา ทั้งตอนสิ้นพระชนม์และเสด็จกลับคืนชีพ ก็เป็นแม่พระนี่แหละที่เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างตามที่พระเจ้าเคยสัญญาไว้"

"ดังนั้น เราสามารถเรียนรู้ที่จะเป็นประจักษ์พยานถึงความเชื่อด้วยชีวิตอันเรียบง่าย, พร้อมที่จะอุทิศตนให้กับการรักษาความเชื่อตามหลักพระวรสาร, พร้อมเสมอที่จะเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น จงมั่นใจเถิดว่า การทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย การทำทุกอย่างเพื่อพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียความสุขฝ่ายโลก เพราะที่สุดแล้ว เราจะได้รับความสุขนิรันดรในสวรรค์ เฉกเช่นที่แม่พระทรงได้รับ"

ในส่วนการแบ่งปันพระวรสารประจำวันอาทิตย์ที่ 24 ในเทศกาลธรรมดา (มาร์โก 8:27-35) พระเยซูทรงถามบรรดาศิษย์ว่า "คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร" ก่อนที่นักบุญเปโตรจะตอบว่า "พระองค์คือพระคริสตเจ้า" พระสันตะปาปาจึงให้ข้อคิดถึงเหตุการณ์นี้ว่า "พระเยซูมิได้เสด็จมาเพื่อสอนปรัชญา แต่พระองค์มาเพื่อเผยแสดงหนทางที่จะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร หนทางที่ว่าก็คือการดำเนินชีวิตด้วยความรักซึ่งแสดงออกผ่านทางการมีความเชื่อในพระเจ้า"

"ถ้าเรารักเพื่อนมนุษย์ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์และดีงาม มันก็หมายความว่า เรารู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่ถ้าเราพูดว่าเรารักพระ แต่การกระทำของเรานั้น ไม่ได้แสดงออกถึงการรักเพื่อนมนุษย์ มันก็หมายความว่า เราไม่ใช่ผู้มีความเชื่อในพระเจ้า ในบทอ่านที่สองของวันนี้ นักบุญยากอบก็กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า "ความเชื่อก็เช่นกัน หากไม่มีการปฏิบัติ มันก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว" (ยากอบ 2:17)"

"โอกาสนี้ พ่อขอนำคำพูดของนักบุญจอห์น คริสโซสตอม หนึ่งในผู้นำพระศาสนจักรที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งวันระลึกถึงท่านตรงกับวันนี้ (13 กันยายน) ท่านนักบุญกล่าวว่า "มนุษย์สามารถมีความเชื่อในพระบิดา พระบุตร และพระจิต แต่ถ้าเขาไม่มีชีวิตที่เปี่ยมด้วยความดีงาม ความเชื่อนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เขาได้รับความรอดเลย" ดังนั้น เมื่อเราอ่านพระวรสารแล้วเจอสิ่งที่พระเยซูตรัส อาทิ "ชีวิตนิรันดรคือการรู้จักพระองค์ พระเจ้าแท้จริงแต่องค์เดียว" (จอห์น 17:3) เราอย่าคิดไปเองว่า เราได้รับชีวิตนิรันดรแล้ว การรู้จักอย่างพระเจ้าอย่างเดียวไม่ช่วยเรารอดพ้น ถ้าปราศจากการดำเนินชีวิตและปฏิบัติตนตามคำสอนของพระองค์"
พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย