1 มกราคม :พระสันตะปาปามั่นใจเรื่องร้ายปี 2009 ผ่านได้ด้วยความเชื่อในพระเจ้า -------------------------------------------------------------------------------- สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขสูงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรงมั่นใจ เมฆหมอกแห่งความเลวร้ายที่ปกคลุมปี 2009
จะจางหายไปได้ เมื่อได้รับแสงสว่างจากพระเจ้า ย้ำ จงอย่ากลัว แต่จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า แล้วทุกอย่างจะดีเอง
เมื่อเวลา 18.00 น.ของวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา (ตรงกับ 00.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม ตามเวลาในไทย) สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุของค์ที่ 265 แห่งพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงเป็นประธานในวจนพิธีตื่นเฝ้ารอวันสมโภชพระนางมารีย์พระชนนีของพระเจ้า (สมโภช 1 ม.ค.) พร้อมทั้งอวยพรศีล
มหาสนิท ก่อนจะปิดท้ายด้วยการขับร้องบทเพลง "เต เดอุม" (Te Deum) เพื่อขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับพระพรตลอดปีที่ผ่านมา โดยพิธีนี้ จัดขึ้นภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมพิธีจำนวนมาก ในส่วนของบทเทศน์ประจำพิธี พระสันตะบิดาเจ้า ทรงให้ข้อคิดว่า ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ เราต่างทราบดีว่า ต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจมากมาย กระนั้น จงอย่ากลัว เพราะสถานการณ์แบบนี้ เรียกร้องความร่วมมือร่วมใจฟันฝ่าไปพร้อม
กับความหวังในพระเจ้า รวมทั้งมอบความวางใจไว้กับแม่พระ และเมื่อนั้น ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
พระสันตะปาปา เริ่มต้นตรัส ด้วยการสรรเสริญแม่พระว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างในคืนนี้ ชวนให้เราหันไปมองสตรีคนหนึ่ง ซึ่งเปิดใจและกายต้อนรับพระวจนาตถ์ของพระเจ้าที่ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ สังคยานาวาติกัน ครั้งที่ 2 ก็ระบุไว้ว่า "พระนางมารีย์ได้รับการยอมรับและเทิดทูนให้เป็นพระมารดาของพระเจ้า" การบังเกิดของพระคริสตเจ้า ซึ่งเรากำลังส
มโภชอยู่นี้ ได้รับการเฉลิมฉลองไปทั่วทิศานุทิศ ก็ด้วยความเบิกบานจากแม่พระ ต่อให้เราหยุดรำพึงต่อหน้าพระกุมารในถ้ำเลี้ยงสัตว์ สายตาของเราก็ไม่สามารถละไปจากพระมารดาของพระองค์ได้เลย การที่พระนางตอบรับพระเจ้า (Yes to God) คือการมอบของขวัญเป็นพระผู้ไถ่ให้มนุษยชาติอย่างแท้จริง นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมเทศกาลคริสต์มาส ถึงมีความหมายพิเศษต่อแม่พระ นอกเหนือไปจากการบังเกิดของพระบุตรของพระนาง"
ย้อนกลับไปเมื่อคืนสมโภชพระคริสตสมภพ ใจความหลักที่พระสันตะปาปาเทศน์สอน ได้แก่ การปกป้องเด็กไม่ให้เป็นเหยื่อความรุนแรง มาวันนี้ ซึ่งเป็นวันสิ้นปี พระองค์ทรงหันมาให้ความสำคัญกับเยาวชน ผู้เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนพระศาสนจักรในอนาคต โดยทรงขอร้องเยาวชน อย่ากลัวที่จะตอบรับเสียงเรียกจากพระเจ้า และอย่ากลัวที่จะดำเนินชีวิตสวนกระแสสังคม
ประมุขผู้ทรงพระชนมายุ 81 ชันษา ตรัสว่า "หันมามองสถานการณ์ตอนนี้ที่เรากำลังเผชิญ มีความไม่มั่นคงและความ
กังวลมากมายเกี่ยวกับอนาคต มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่เราต้องแสวงหาพระคริสตเจ้าผู้ทรงชีวิต แสวงหาแม่พระผู้เป็นดวงดาราแห่งความหวังซึ่งจะนำทางเราไปหาพระเยซู โดยอาศัยความรักดุจมารดา แม่พระจะนำทุกคนไปหาพระเยซู เฉพาะอย่างยิ่ง เยาวชนที่กำลังเกิดคำถามภายในจิตใจเกี่ยวกับความหมายแท้จริงของการดำเนินชีวิตตามประสามนุษย์"
"พ่อรู้ว่า มีผู้ปกครองจำนวนมากกำลังหาทางช่วยลูกหลานของตนให้ค้นพบคำตอบของการมีชีวิต พ่ออยากขอร้อง
พวกท่านด้วยไมตรีจิตว่า จงเป็นพยานยืนยันถึงพระวรสาร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจความชื่นชมยินดีที่มาจากการพบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงบังเกิดที่เบ็ธเลเฮม พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อกอบโกยสิ่งใด แต่ทรงมาเพื่อมอบทุกสิ่งให้กับเราทุกคน"
พระสันตะปาปา ผู้เป็นประธานงานเยาวชนโลกมาแล้ว 2 ครั้ง ตรัสต่อไปว่า "เยาวชนที่รัก จงอย่ากลัว !! พันธกิจการเป็นผู้ติดตามที่พระเยซูทรงมอบให้กับพวกเธอ ก็คือ อย่าลังเลที่จะดำเนินชีวิตสวนกระแสโลก พระจิตเจ้าจะจัดเตรียม
สิ่งจำเป็นให้กับพวกเธอในการเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงความชื่นชมยินดีแห่งความเชื่อและความสวยงามแห่งการเป็นคริสตชน เวลานี้ การประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์จัดเป็นเรื่องเร่งด่วน งานนี้ ต้องการคนจำนวนมากที่พร้อมจะทำงานในสวนองุ่นของพระเจ้า ดังนั้น อย่าลังเลใจเมื่อพระเจ้าตรัสเรียกพวกเธอ สังคมกำลังต้องการคนที่ไม่คิดแต่เรื่องของตัวเอง เหมือนอย่างที่พ่อกล่าวไว้ในวันพระคริสตสมภพว่า ถ้ามนุษย์สนใจแต่เรื่องของตัวเอง โลกก็จะวิบัติอย่างแน่นอน"
จากนั้น พระสันตะปาปา ทรงกล่าวถึงสถานการณ์โลกในปี 2009 ซึ่งกูรูหลายคน เชื่อว่า "วิกฤติเศรษฐกิจของจริงมาแล้ว" พระองค์ทรงขอให้คริสตังมีความสามัคคีและอย่าทอดทิ้งผู้ทุกข์ยากเป็นอันขาด "ปีนี้ กำลังจะผ่านไป ส่วนปีหน้า เราทราบดีว่า วิกฤติเศรษฐกิจอันแสนสาหัสที่ลุกลามไปทั่วโลกกำลังรออยู่ นี่เป็นวิกฤติซึ่งเรียกร้องความพอเพียงและความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนทั้งโลก ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้คนและครอบครัวที่ประสบความยากลำบากอย่างรุ
นแรง นี่เป็นหน้าที่ที่คริสตชนจะต้องอุทิศตนอย่างจริงจัง แต่กระนั้น การร่วมมือร่วมใจก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่มีใครสามารถสร้างความสุขได้ด้วยตัวคนเดียว"
"แม้ว่า เมฆหมอกแห่งความมืดมัวจะปกคลุมอนาคตเราอยู่ เราก็ต้องไม่กลัว ความหวังอันประเสริฐสุดของผู้มีความเชื่อคือชีวิตนิรันดรในพระคริสตเจ้าและอาณาจักรสวรรค์ ความหวังนี้มอบความเข้มแข็งให้เรากล้าเผชิญควา
มยากลำบากและเอาชนะอุปสรรคในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ พ่อมั่นใจว่า อาศัยการคุ้มครองของแม่พระ พระนางจะสวดอ้อนวอนพระเจ้าแทนเรา และก็มั่นใจอีกว่า พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเรา ถ้าเราวางใจและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์"
"ดังนั้น จงมอบความวางใจและฝากตัวเราเองไว้กับแม่พระ เราขอถวายความตั้งใจและความหวัง เช่นเดียวกับ ความกลัวและอุปสรรคต่างๆ ภายในจิตใจไว้กับพระนาง สุดท้ายนี้ ขอโมทนาคุณพระเจ้าสำหรับพระพรต่างๆในปี
2008 และขอให้เราเตรียมตัวอย่างดี เพื่อต้อนรับปี 2009 ด้วยเถิด" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย
หลังจากนี้ ได้มีการขับบทเพลง "เต เดอุม" เพื่อเป็นการสรรเสริญพระเจ้าและขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิ่งดีๆในปี 2008 และหลังวจนพิธีกรรมจบลง พระสันตะปาปา ได้เสด็จไปภาวนาหน้าถ้ำพระกุมาร ซึ่งตั้งอยู่กลางลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร ต่อไป |