พระสันตะปาปาเรียกร้องเสรีภาพการนับถือศาสนาระหว่างเสวนาศาสนสัมพันธ์ / 18 เมษายน 2008
-------------------------------------------------------------------------------- เมื่อเวลา 18.30 น.ของวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ตามเวลาวอชิงตัน ดี.ซี. (06.30น.ของวันที่ 18 เม.ย.ตามเวลาในไทย) สมเด็จพระสันตะปาปา
เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขสูงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรงประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จสู่ศูนย์วัฒนธรรมสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 เพื่อพบปะเสวนาศาสนสัมพันธ์กับผู้แทนศาสนาต่างๆกว่า 200 ท่าน
ใจความสำคัญของการพบปะครั้งนี้ พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงชื่นชมขนบธรรมเนียมประเพณีอเมริกันที่มอบเสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่พลเมือง เช่นเดียวกับที่ชาวอเมริกันให้ศาสนามีบทบาทในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้
พระองค์ยังเรียกร้องให้ทุกประเทศทั่วโลก มอบเสรีภาพในการนับถือศาสนาให้กับประชากรของตน พร้อมกับสนับสนุนมนุษย์ทุกชาติหันหน้าเสวนาศาสนสัมพันธ์ เพื่อความเข้าใจอันดีงามระหว่างความเชื่อที่แตกต่างกันไป
พระสันตะปาปา เริ่มต้นตรัสว่า "สหรัฐอเมริกามีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการให้ความร่วมมือระหว่างความเชื่อทางศาสนา
ตัวอย่างที่เราพบก็คือการสวดภาวนาร่วมกันของกลุ่มคนทุกศาสนาในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ศาสนกิจดังกล่าวได้หลอมรวมให้พลเมืองทุกคนที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างกัน ได้เดินไปด้วยกัน
เพื่อที่ว่าจะได้เกิดความเข้าใจอันดีงามและให้การเคารพซึ่งกันและกัน ดังนั้น ข้าพเจ้าขอสนับสนุนศาสนาทุกศาสนาในสหรัฐอเมริกาได้ธำรงรักษาความร่วมมือนี้ไว้
เพื่อให้ชีวิตชุมชนอุดมสมบูรณ์ด้วยคุณค่าทางจิตใจอันจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับโลก" จากนั้น ประมุขผู้กล้าแห่งพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงระบุถึงเสรีภาพในการนับถือศาสนา พระองค์ชี้ว่า
เสรีภาพในการนับถือศาสนาต้องไม่ถูกคุ้มครองแค่ทางทฤษฏี แต่ในทางปฏิบัติ เราต้องรณรงค์ให้เกิดเรื่องนี้ด้วย "เสรีภาพในการนับถือศาสนา ต้องไม่ถูกคุ้มครองแค่ทางกฏหมายเท่านั้น ในทางปฏิบัติ คนกลุ่มน้อยในสังคมของประเทศต่างๆ
ต้องได้รับการคุ้มครองด้วยเช่นกัน เราต้องป้องกันไม่ให้มีการเบียดเบียนศาสนาหรือสร้างอคติให้คนเกลียดชังผู้ที่นับถือศาสนาต่างจากเรา การปกป้องเสรีภาพในการนับถือศาสนา เรียกร้องให้สมาชิกทุกคนในสังคม ช่วยกันเสริมสร้างความมั่นใจว่า
ประชากรทุกคนสามารถประกอบศาสนกิจได้อย่างสงบสุขและสามารถมอบมรดกอันล้ำค่าทางศาสนาให้กับลูกหลานของตน" พระสันตะปาปา ผู้ทรงพระชนมายุ 81 ชันษา ทรงกล่าวต่อถึงการเสวนาศาสนสัมพันธ์ ด้วยการระบุว่า การเสวนาจะช่วยเพิ่มคุณค่าให้ทั้งตัวผู้เสวนาและสรรสร้างสิ่งดีให้กับสังคม "การเสวนาศาสนสัมพันธ์จะนำมาซึ่งความเคารพให้เกียรติกัน ทั้งในเรื่องคุณค่าจริยธรรม,ความเข้าใจเหตุผลตามประสามนุษย์
ทั้งหมดจะได้รับการเคารพจากมนุษย์ทุกคนที่มีไมตรีจิตอันดีงาม" พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ ยังได้ตรัสถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงซึ่งผู้นำทุกศาสนาควรกระทำ นั่นคือ การเน้นย้ำให้ศาสนิกชน
เห็นคุณค่าความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน "ผู้นำทางศาสนาควรจะกระตุ้นสังคมให้รับรู้พื้นฐานและเคารพชีวิตมนุษย์ รวมทั้งเสรีภาพที่ควรจะได้รับ นอกจากนี้ ยังต้องสร้างความมั่นใจว่า ความศักดิ์สิทธิ์ในตัวมนุษย์ทุกคน
จะได้รับการตระหนักคุณค่าและปกป้องให้ถึงที่สุด เช่นเดียวกับการส่งเสริมสันติภาพ,ความยุติธรรมให้เกิดกับสังคม รวมไปถึงการสอนเด็กๆให้รู้ว่า สิ่งใดถูกต้อง สิ่งใดดีงาม สิ่งใดที่เป็นเหตุเป็นผล"
พระสันตะปาปาสุดยอดนักเทวศสตร์ ทรงอธิบายต่อไปว่า จุดประสงค์ของการเสวนาศาสนสัมพันธ์ไม่ได้มีแค่ประเด็นเสรีภาพในการนับถือศาสนาและการให้ความรู้แบบถูกต้องเท่านั้น แต่มีอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ
"จุดประสงค์แบบกว้างของการเสวนาศาสนสัมพันธ์ก็คือการค้นหาสัจธรรมความจริง" "สัจธรรมความจริงที่ข้าพเจ้าหมายถึง ก็คือ คำถามที่ว่า อะไรคือจุดกำเนิดและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ชาติ อะไรคือความดีและความชั่ว
อะไรที่รอเราอยู่ เมื่อถึงวันที่ลาจากโลกนี้ไป" "ถ้าเป็นคริสตชน เราจะตอบคำถามนี้ว่า จุดกำเนิดและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ชาติคือพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ พวกเราคริสตชนเชื่อว่า พระองค์คือพระวจนะของพระเจ้า (Logos)
ที่ได้ลงมารับเอากายบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาเพื่อให้พระเจ้ากับมนุษย์ได้กลับคืนดีกัน พระองค์ยังเป็นบ่อเกิดสำหรับสรรพสิ่งทั้งมวล ฉะนั้น พระเยซูจึงเป็นเหตุและผลที่คริสตชนนำมาเป็นประเด็นในการเสวนาศาสนสัมพันธ์
ความปราถนาอย่างร้อนรนในการติดตามพระองค์ ได้ทำให้คริสตชนเปิดใจเข้าสู่การเสวนาศาสนสัมพันธ์" พระสันตะปาปาทรงเสนอแนะปิดท้ายว่า การเสวนาศาสนสัมพันธ์ให้เกิดผลสูงสุด
เราต้องกำจัดความรู้สึกแปลกแยกออกจากใจให้หมด และเมื่อนั้น เราจะเข้าถึงความรู้สึกที่แท้จริง "เราต้องหลีกเลี่ยงการสนทนาเรื่องความแตกต่าง เราต้องเสวนาด้วยหัวใจดวงเดียวกันและใช้ความรู้สึกร่วมกัน เพื่อที่ว่า เราจะได้พบสันติสุข
นอกจากนี้ เรายังต้องรับฟังเสียงแห่งความจริงด้วยความตั้งใจด้วย" หลังจากพระสันตะปาปาตรัสจบลง พระองค์ทรงทักทายกับผู้นำศาสนาต่างๆ จากนั้น ทรงสนทนากับผู้แทนศาสนายิวเป็นการส่วนพระองค์ สำหรับใจความสำคัญ
พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า "มรดกทางความเชื่อของศาสนาคริสต์และศาสนายิวมีพื้นฐานเดียวกัน" นอกจากนี้ พระองค์ทรงคาดหวังว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนายิวจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น นับตั้งแต่สภาสังคยานาวาติกัน ครั้งที่ 2 อนึ่ง การเสวนาศาสนสัมพันธ์คือพันธกิจการอภิบาลสุดท้ายที่พระสันตะปาปาจะปฏิบัติที่วอชิงตัน ดี.ซี.
โดยวันรุ่งขึ้น (18 เมษายน) พระองค์จะประทับเครื่องบินพระที่นั่งเสด็จไปยังนครนิวยอร์ก เพื่ออภิบาลสัตบุรุษที่นั่นต่อไป
|