พระสันตะปาปาบอกคนที่เป็นแสงส่องโลกมักถูกกดขี่ข่มเหงแบบพระเยซู / 8 เมษายน 2008
-------------------------------------------------------------------------------- สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขสูงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก
ทรงกล่าวสดุดีบรรดามรณสักขีที่ยอมสละชีวิตเพื่อยืนยันความเชื่อในพระเจ้า พระองค์ให้ข้อคิดว่า เมื่อใดที่คริสตชนได้เป็นเชื้อแป้ง,เป็นแสงสว่างส่องโลก,เป็นเกลือดองแผ่นดิน ก็เป็นธรรมดาที่เขาคนนั้นจะถูกกดขี่ข่มเหงแบบเดียวกับพระเยซู
เมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้เสด็จเยือนมหาวิหารซาน บาร์โตโลเมโอ (นักบุญบาร์โธโลมิว) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเตเวเร่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เนื่องในโอกาสครบรอบ 40
ปีการก่อตั้งคณะแพร่ธรรมแห่งนักบุญเอจิดิโอ นอกจากนี้ พระองค์ยังเสด็จไปสวดภาวนาที่สักการะสถานมรณสักขียุคใหม่ (ศตวรรษที่ 20) ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 อดีตประมุขผู้ล่วงลับได้ทรงก่อตั้งขึ้น
เพื่อเป็นเกียรติแก่บรรดาคริสตังยุคใหม่ที่ยอมตายเพื่อยืนยันความเชื่อของตน อาทิ พระอัครสังฆราช ออสการ์ โรเมโอ,พระคาร์ดินัล ฆวน โปซาดาส โอคัมโป้,คุณพ่ออันเดรีย ซอนโตโร่ การเสด็จเยี่ยมครั้งนี้
พระสันตะปาปาทรงเป็นประธานในวจนพิธีกรรมอุทิศแด่มรณสักขีทุกท่าน พระองค์ทรงเทศน์ให้ข้อคิดถึงสิ่งที่มรณสักขีได้กระทำ ทรงย้ำว่า การยอมตายเพื่อประกาศความจริงในพระวรสาร โลกมนุษย์อาจไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร แต่สำหรับพระเจ้า
นี่คือการแสดงออกถึงความรักอย่างชัดแจ้ง และรักนี้จะทำให้มรณสักขีเอาชนะความตายและกลับคืนชีพพร้อมพระองค์ พระสันตะปาปา เริ่มต้นบทเทศน์ด้วยการหยิบยกคำพูดของ แตร์ตูเลี่ยน หนึ่งในผู้นำพระศาสนจักรยุคแรกเริ่ม มากล่าวว่า "เลือดของมรณสักขีคือเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงไปเพื่อก่อให้เกิดคริสตชนคนรุ่นใหม่ ในความพ่ายแพ้และการไร้เกียรติยศของผู้สูญเสียจากการปฏิบัติตนตามพระวรสาร
จะกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่โลกมิอาจเข้าใจว่า คนๆนี้ยอมตายเพื่ออะไร แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว การกระทำดังกล่าวคือการแสดงออกถึงพลังแห่งความรัก,พลังแห่งความช่วยเหลืออย่างไม่มีสิ้นสุด,พลังแห่งชัยชนะซึ่งจะอยู่เหนือความพ่ายแพ้ทั้งมวล
นี่คือพลังที่จะท้าทายและเอาชนะความตาย ใครก็ตามที่ยอมสละชีวิตเพื่อพระอาณาจักรของพระเจ้า เขาผู้นั้นก็จะกลายเป็นเพื่อนร่วมทางของพระเยซู เขาจะปฏิบัติตนเหมือนกับพระองค์ เขาจะยอมรับการเสียสละอย่างถึงที่สุด
โดยปราศจากการกีดกันความรักเพื่อรับใช้ความเชื่อที่มีต่อพระองค์" "วันนี้ เรามาร่วมกันระลึกถึงเหล่ามรณสักขีที่ยอมตายภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์,นาซี
พวกท่านเหล่านั้น ยอมตายเพื่อเติมเต็มพันธกิจการประกาศพระวรสารของพระศาสนจักร เลือดของมรณสักขีได้รับการเทรวมเข้ากับคริสตชนพื้นเมืองผู้ซึ่งความเชื่อได้รับการถ่ายทอดออกไป นอกจากนี้
ยังมีคริสตชนคนกลุ่มน้อยในสังคมซึ่งถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อ แม้แต่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเรากำลังมีชีวิตอยู่นี้ ก็ยังมีเครื่องหมายแห่งการเป็นมรณสักขีให้เห็นอยู่เป็นประจำ"
"เมื่อคริสตชนได้เป็นเชื้อแป้ง,เป็นแสงสว่างส่องโลก,เป็นเกลือดองแผ่นดิน พวกเขาก็ได้กลายเป็นประเด็นแห่งการกดขี่ข่มเหงและโดนกลั่นแกล้งต่างๆนาๆแบบองค์พระเยซู
คริสตชนเหล่านี้เหมือนกับที่พระเยซูตรงที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความขัดแย้ง" พระสันตะปาปายืนยันอย่างหนักแน่น "การอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้อง
อยู่ด้วยกันด้วยความรัก,ความเชื่อและคอยช่วยเหลือผู้ยากจนและไร้ค่าในสังคมคือจุดเด่นของกลุ่มคริสตชน แต่บางครั้ง มันไปกระตุกต่อมแห่งความเกลียดชังเข้า ดังนั้น เราต้องมองไปที่แสงสว่างในการเป็นพยานยืนยันของผู้ที่มาก่อนเรา
พวกเขาได้เป็นวีรบุรุษทางความเชื่อจนได้เป็นมรณสักขี พ่อขอให้เราดูท่าน(มรณสักขี)เหล่านี้เป็นแบบอย่างและพยายามปรับใช้กับชีวิตเราแต่ละคน" นอกจากจะเทศน์สอนเรื่องมรณสักขีแล้ว
พระสันตะปาปาไม่ลืมที่จะทักทายคณะแพร่ธรรมแห่งนักบุญเอจิดิโอ ซึ่งก่อตั้งมาครบ 40 ปีพอดี พระองค์ตรัสว่า "พระวาจาของพระเจ้าและความรักของพระศาสนจักร ได้มอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ยากไร้ทุกคน การประกาศพระวาจาของพระ
จะเป็นดวงดาวนำทางท่านในการเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ภายใต้ท้องฟ้าของเมืองที่แตกต่างกันไป แม้ท้องฟ้าจะต่างกัน(สว่างหรือมืด) แต่พระวาจาของพระคริสตเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความต่างแน่นอน" "ฉะนั้น
จงออกไปเป็นผู้สร้างสันติภาพและเป็นผู้นำการคืนดีให้เกิดกับสังคมที่เต็มไปด้วยศัตรูและยังคงรบราฆ่าฟันกันไม่จบไม่สิ้น" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย ปัจจุบัน คณะแพร่ธรรมแห่งนักบุญเอจิดิโอ มีสมาชิกทั่วโลกมากกว่า
50,000 คนและกระจายอยู่ในกว่า 70 ประเทศ คณะนี้ ก่อตั้งที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี โดย อันเดรีย ริคคาร์ดี้ คลิกที่นี่ เพื่อชมประมวลภาพ : พระสันตะปาปาเสด็จเยี่ยมสักการะสถานมรณสักขียุคใหม่
|