พระสันตะปาปากระตุ้นคริสตชนอ่านพระคัมภีร์ให้มากๆ / 17 พฤศจิกายน 2007 --------------------------------------------------------------------------------
เมื่อช่วงเช้าวันพุธที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา (ตามเวลาวาติกัน) สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้เสด็จออกมาพบปะและเทศน์สอนสัตบุรุษประมาณ 30,000 คนที่มาเข้าเฝ้า ณ ลานหน้า มหาวิหาร ซาน ปิเอโตร โดยวันนี้
พระสันตะปาปายังคงนำชีวประวัติของ นักบุญเจโรม สุดยอดนักเทววิทยาซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่สี่ และยังเป็นผู้แปลพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจากต้นฉบับภาษาดั้งเดิมมาเป็นภาษาลาติน มาเทศน์สอนและให้ข้อคิดสัตบุรุษต่อเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน
โดยทรงย้ำว่า คริสตชนทุกคนต้องอ่านพระคัมภีร์ เพราะนี่คือการทำความรู้จักพระเจ้าและเรียนรู้วิธีการดำเนินชีวิตประจำวัน
พระสันตะปาปา ทรงเริ่มต้นตรัสสอนด้วยการนำถ้อยคำของนักบุญเจโรมมากล่าวย้ำกับสัตบุรุษว่า
"การมีชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่ จัดเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้มีความเชื่อทุกคน ใครก็ตามที่ละทิ้งพระคัมภีร์ เขาคนนั้น ก็ละทิ้งพระคริสต์เจ้าด้วยเช่นกัน"
พระสันตะปาปาทรงกล่าวต่อไปด้วยความมั่นใจว่า พระคัมภีร์คือแบบแผนสอนการใช้ชีวิตประจำวันให้กับผู้มีความเชื่อทุกคน แต่กระนั้น
การอ่านพระคัมภีร์ต้องเป็นไปในแบบการรำพึงภาวนาและต้องตีความแบบที่พระศาสนจักรทำกัน ไม่ใช่ตีความในทางที่ผิดๆ แบบสมัยนิยมกระทำ
"สำหรับนักบุญเจโรมแล้ว
วิธีการขั้นพื้นฐานสำหรับตีความพระคัมภีร์ก็คือเน้นไปที่ความกลมเกลียวในพระศาสนจักร หนังสือพระคัมภีร์เล่มต่างๆ ถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ซึ่งอาศัยการดลใจจากพระจิตเจ้า ดังนั้น การสนิทสัมพันธ์กันด้วยความเชื่อคือสิ่งเดียวเท่านั้น
ที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ได้อย่างถ่องแท้"
"นักบุญเจโรมไม่ได้มองข้ามความสำคัญด้านศีลธรรมและมีอยู่บ่อยครั้งที่ท่านย้ำเตือนหน้าที่การดำเนินชีวิต
เพื่อให้สอดคล้องกับความศักดิ์สิทธิ์กับพระวาจาของพระเจ้า ดังนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่า ความสนิทสัมพันธ์คือสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกได้จากการเป็นคริสตชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีหน้าที่อภิบาลเทศน์สอนทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้
ต้องดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่ได้สั่งสอนออกไป" พระสันตะปาปา ตรัสอย่างหนักแน่น
"นักบุญเจโรมมักเน้นย้ำอยู่เสมอว่า
พระวาจาของพระเจ้าต้องได้รับการแปลความหมายด้วยความรักของพระองค์อย่างแท้จริง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเป็นพระบุคคลขององค์พระคริสต์เจ้าได้ถูกนำเสนอผ่านทางความเป็นมนุษย์ และเช่นเดียวกัน
นักบุญเจโรมยังตีความพระวรสารให้กระจ่างชัดด้วยการเน้นย้ำว่า เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องมอบเครื่องนุ่งห่มให้กับพระเจ้าผู้ทรงประทับในผู้ยากไร้, เป็นหน้าที่เราที่ต้องไปเยี่ยมพระองค์ที่ทรงประทับอยู่ในผู้ป่วย,
เป็นหน้าที่เราที่ต้องจัดหาอาหารให้กับพระองค์ผู้ประทับในผู้หิวโหย และสุดท้าย เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับพระองค์ผู้ทรงประทับอยู่ในผู้ไร้ที่พักพิง"
ในตอนท้ายของบทเทศน์สอนเชิงเทวศาสตร์
พระสันตะปาปาชาวเยอรมันทรงเน้นย้ำความสำคัญของการศึกษาด้วยการตรัสว่า "หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เราได้รับจากนักบุญเจโรมก็คือแนวคิดด้านการศึกษา นักบุญเจโรมเน้นหนักไปที่สุขภาพกายและใจต้องมาพร้อมกับการศึกษาหาความรู้
คริสตชนที่ท่านเทศน์สอนต้องมีสิ่งเหล่านี้อย่างครบครัน โดยเฉพาะบรรดาสุภาพสตรีทั้งหลาย ทั้งที่ช่วงเวลานั้น ยังมีการจำกัดสิทธิสตรีอย่างเคร่งครัด กระนั้นก็ดี ท่านนักบุญไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ท่านพูดอยู่เสมอว่า
สตรีทุกคนต้องได้รับการศึกษาเต็มรูปแบบ เพราะพวกเขาก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เช่นกัน"
หลังจากจบบทเทศน์เชิงเทววิทยาแล้ว พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16
ทรงเชิญชวนให้ทุกคนร่วมสวดภาวนาอุทิศให้กับดวงวิญญาณทหารอิตาเลี่ยนจำนวน 14 คนที่ต้องเสียชีวิตในการรบที่อิรักเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2003 โดยพระองค์ทรงสัญญาว่าจะสวดภาวนาอุทิศให้กับพวกเขาอย่างแน่นอน
และหลังจากที่การเข้าเฝ้าฯจบลง พระสันตะปาปาได้เสด็จไปที่วัดน้อยส่วนพระองค์ เพื่อพบกับผู้แสวงบุญจากสังฆมณฑลลีซีเออซ์ ประเทศฝรั่งเศสที่เดินทางมาเข้าเฝ้าและนำพระธาตุของนักบุญเทเรซาแห่งลีซีเออซ์ มาให้พระสันตะปาปาได้เคารพ
โอกาสนี้ พระสันตะปาปาทรงกล่าวให้ข้อคิดกับผู้แสวงบุญเหล่านี้ด้วยการรำลึกประวัติศาสตร์ในอดีตว่า "เมื่อ 120 ปีที่แล้ว นักบุญเทเรซาแห่งลีซีเออซ์ ได้เดินทางมาที่กรุงโรมเหมือนกับพวกท่าน
ในวันนั้น นักบุญเทเรซาได้เข้าเฝ้า สมเด็จพระสันตะปาปา เลโอ ที่ 13 เพื่อขออนุญาตเข้าอารามคาร์เมลไลต์ ทั้งที่ตอนนั้นท่านยังเป็นเด็กอายุ 15 อยู่เลย ขณะที่อีก 80 ปีต่อมา สมเด็จพระสันตะปาปา ปิโอ ที่ 11
ได้ประกาศสถาปนาท่านให้เป็นองค์อุปถัมภ์ของมิชชันนารี และเมื่อปี 1997 สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ได้ประกาศให้นักบุญเทเรซา เป็นองค์อุปถัมภ์ของพระศาสนจักรอีกด้วย"
ที่มา: http://www.catholicnews.com/data/stories/cns/0706500.htm ภาพ : AP, AFP, L'Osservatore Romano, Reuters
|