ภาพ คุณสันต์ เจนนันทขจร / นิพัฒน์ สิริพรรณยศ   ข่าว คุณพ่อบัญชา กิจประเสริฐ / นิพัฒน์ สิริพรรณยศ
เรียบเรียงใหม่ โดย แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

ประมวลภาพฉลองวัดดอนบอสโก ชุดที่ 1

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2013 คุณพ่อแฟรงค์ เดลอเรนซี เจ้าอาวาสวัดนักบุญยอห์น บอสโก ได้จัดฉลองวัดประจำปี 2013 และระหว่างพิธีมิสซา มีโปรดศีลกำลังแก่นักเรียนและผู้ใหญ่อีกด้วย

เวลา 17.30 น. พระคุณเจ้า เกรียงศักดิ์ ประธานในพิธี มายังบริเวณวัด คุณพ่อเจ้าอวาส บรรดาผู้รับศีลกำลัง สภาภิบาล และสัตบุรุษให้การต้อนรับ

เวลา 18.00 น.พระอัครสังฆราชฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิชวาณิช  เป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณในโอกาสสมโภชนักบุญยอห์น บอสโก องค์อุปถัมภ์ของวัด ร่วมกับคุณพ่อเปาโล ประเสริฐ สมงาม เจ้าคณะแขวงซาเลเซียนแห่งประเทศไทย และบรรดาพระสงฆ์ซาเลเซียนอีก 10 องค์ ท่ามกลางนักบวชชายหญิง และพี่น้องสัตบุรุษที่มาร่วมพิธีกันอย่างมากมาย

ในระหว่างพิธีพระคุณเจ้าได้โปรดศีลกำลังให้กับนักเรียนคาทอลิกจากโรงเรียนต่าง ๆ และพี่น้อง  คริสตชนจำนวน 50 ท่าน ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม และพร้อมที่จะเป็นทหารที่เข้มแข็งของพระคริสตเจ้าต่อไป

พระคุณเจ้า เกรียงศักดิ์ ได้เทศน์แบ่งปันว่าดังนี้

พี่น้องที่รัก ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พ่อได้เป็นตัวแทนของสภาพระสังฆราชของประเทศไทยไปร่วมประชุมสมัชชาพระสังฆราชที่กรุงโรม ในหัวข้อ
“การประกาศข่าวดีใหม่ซึ่งถ่ายทอดความเชื่อคริสตชน ” แน่นอนว่าวันนี้ พ่อจะไม่พูดถึงการประชุม แต่พ่อขอใช้เวลาสักครู่หนึ่งเพื่อสะท้อนสิ่งที่พ่อคิดว่าเป็นหัวใจของการประกาศข่าวดีใหม่ที่พ่อได้ไตร่ตรอง 3 สัปดาห์ที่ร่วมประชุมนั้น พ่อกำลังจะจับสิ่งที่คิดว่าเป็นพลังขับเคลื่อนให้การประกาศข่าวดีใหม่นั้นเกิดผลในชีวิตของผู้คน อะไรคือการขับเคลื่อน อะไรคือสิ่งที่จะประกาศข่าวดีใหม่นั้นเกิดผล พูดสรุปสั้นๆง่ายๆก็คือ การประกาศข่าวดีใหม่จะต้องเป็นการประกาศข่าวดีด้วยชีวิตก่อน และติดตามด้วยคำพูด เพราะเมื่อชีวิตของผู้ประกาศเป็นพยานสอดคล้องกับข่าวดีที่ตนประกาศ ชีวิตนั้นก็คือข่าวดีตัวเป็นๆให้เห็นอยู่แล้ว และข่าวดีที่ประกาศไปนั้นก็น่าเชื่อถือ

พระเยซูเจ้าในพระวรสารของวันนี้ ตรัสกับผู้ที่รับฟังพระวาจาของพระองค์ว่า “ ไม่มีใครเขาจุดตะเกียงแล้ววางไว้ใต้ถังหรือใต้เตียง แต่ย่อมวางไว้ที่ตั้งตะเกียงมิใช่หรือ ” ฉะนั้นก็แสดงว่า พระเยซูเจ้าองค์พระอาจารย์ของเราปรารถนาให้แบบอย่างชีวิตความเชื่อของเราคริสตชนได้ส่องแสงได้ปรากฏแก่สายตาของผู้คน ให้พวกเขาได้มีโอกาสสัมผัสกับชีวิตคริสตชนของเรา ชีวิตคริสตชนที่เป็นศิษย์แท้ของพระเยซูคริสตเจ้าแล้วนั้น พวกเขาก็จะเชื่อในพระองค์ แต่พระวาจาพระเจ้าตอนนี้ เราเข้าใจชัดเจนทีเดียวว่า พระเยซูเจ้าเชิญชวนพวกเราทุกคนให้เป็นพยานถึงพระองค์ และเราคริสตชนจะต้องเป็นพยานถึงพระเยซูคริสตเจ้าในเรื่องใด พระวาจาสั้นๆจากพระวรสารในวันนี้อีกตอนหนึ่งยังบอกกับเราว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาก็จะตวงให้ท่านอย่างนั้น นี่แสดงว่าเป็นประเด็นสัมพันธ์ระหว่างศษย์ของพระเยซูกับผู้อื่น การเป็นประจักษ์พยานของศิษย์พระเยซูต่อผู้อื่นนั้นเหมือนเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นและความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ก็วางอยู่บนรากฐานบัญญัติประการที่สองของพระเยซูคริสตเจ้าที่พระองค์ได้สอนศิษย์ของพระองค์ บัญญัติประการแรกที่พระเยซูสอนศิษย์ของพระองค์ก็คือ “ พวกท่านจงรักพระเจ้า สุดจิตใจ สุดสติปัญญา และสุดกำลังของท่าน ” และประการที่สองอันสืบเนื่องมาจากบัญญัติประการแรกความรักต่อพระเจ้าก็คือ “ จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ” และในประเด็นความรักต่อเพื่อมนุษย์นั้น พระเยซูได้สอนเราให้รักเพื่อนมนุษย์เพราะเห็นแก่ความรักต่อพระเจ้าซึ่งอาจจะสรุปได้เป็น 3 ขั้น 3 ระดับ คือ

ขั้นแรก เป็นขั้นธรรมดาที่สุดมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ทั้งในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่จากพระวาจาของพระเจ้าที่ว่า จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง ความรักอันนี้เป็นขั้นพื้นฐานที่สุดและมีอยู่ในทุกศาสนา ที่เราเรียกว่า กฎทอง ในพระคัมภีร์ของทุกศาสนาจะเขียนไว้ด้วยข้อความคล้ายคลึงทำนองนี้ ข้อความอาจจะไม่ตรงกันทุกคำพูด แต่เนื้อหาสาระเหมือนกัน นั้นคือ จงทำต่อผู้อื่นในสิ่งที่ท่านปรารถนาให้เขาทำต่อท่าน และอย่าทำต่อผู้อื่นในสิ่งที่ท่านไม่ปรารถนาให้เขาทำต่อท่าน สิทธิมนุษยชนและกฎหมายของประเทศต่างๆ ก็วางรากฐานอยู่บนหลักการประการนี้

ขั้นที่สอง คริสต์ศาสนายังสอนในเรื่องความรักต่อเพื่อนมนุษย์อีกขั้นหนึ่งซึ่งสูงกว่าขั้นแรก โดยเรียกร้องจากคริสตศาสนิกชนผู้เป็นศิษย์พระคริสตเจ้าให้พวกเขาพร้อมที่จะรักและเสียสละเพื่อผู้อื่นมากกว่าเพื่อตัวของตัวเอง เนื่องจากพระเยซูเจ้าเรียกร้องให้คริสตชนรักพระองค์มากกว่ารักตัวของตัวเองในพระวาจาที่ว่า หากท่านทั้งหลายไม่รักเราพระเยซูมากกว่าบิดามารดาญาติพี่น้องชายหญิงอันหมายถึงรักพระองค์มากกว่าญาติพี่น้องมากว่าพืชสวนไร่นาซึ่งหมายถึงการงานอาชีพ และมากกว่าตัวของตัวเองด้วย ท่านก็ไม่เหมาะสมจะเป็นศิษย์ของเรา และในเวลาเดียวกัน ท่านยังสอนศิษย์ของพระองค์อีกด้วยว่า สิ่งใดที่ท่านทำต่อพี่น้องเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะผู้ต่ำต้อย ท่านทำต่อเรา ทำต่อพระเยซูเองซึ่งหมายความว่าให้เรารักเพื่อนมนุษย์เท่ากับที่เรารักพระเยซู ดังนั้น ก็เห็นชัดว่า พระเยซูเจ้าทรงคาดพอจากศิษย์แท้ของพระองค์ถึงขั้นที่ให้พวกเขารักผู้อื่นมากว่าตัวของเขาเอง เพื่อพวกเขาที่สามารถเป็นคนแรกที่รักผู้อื่นก่อนและสามารถรักได้แม้กระทั่งศัตรูของเขาด้วย ดังพระวาจาที่ว่า “ จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอภัยแก่ผู้ที่เบียดเบียนท่าน ” ผู้ที่จะสามารถรักศัตรูของเขาได้ต้องเป็นผู้ที่รักผู้อื่นมากกว่าตัวของตัวเอง ดังนั้น  ผลความรักต่อเพื่อนมนุษย์ในขั้นที่สองนี้จะทำให้ศิษย์ของพระเยซูเจ้าสามารถเป็นคนแรกที่เริ่มรักและเสียสละเพื่อผู้อื่นก่อนโดยไม่รอรักตอบบ้าง เพราะเขาเองได้รับความรักจากพระเจ้ามาก่อนแล้ว ดังนั้นเอง กระบวนการขับเคลื่อนความรักต่อผู้อื่นความรักต่อสังคมความรักชนิดที่โถมไปมากกว่าตัวของตัวเองจึงเกิดขึ้น จำเป็นจะต้องมีบางคนบางกลุ่มอาสาที่จะเริ่มก่อน ศิษย์แท้ของพระเยซูนี่แหละ อาสาที่จะเริ่มรักผู้อื่นก่อน

ขั้นที่สาม การที่มีบุคคลบางคนบางกลุ่มเริ่มดำเนินชีวิตแบบนี้ความรักตอบกลับจะค่อยๆเกิดขึ้นตามที่คริสตชนได้สัมผัสและได้สำนึกในความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพวกเขาผ่านมาทางพี่น้องคริสตชนคนอื่นๆก็จะทำให้เขาสำนึกในความรักนั้นและตอบรับรักเช่นเดียวกันทีละเล็กทีละน้อย ความรักเสียสละที่เริ่มก่อนจากฝ่ายหนึ่งก็จะกลับกลายเป็นความรักต่อกันและกัน ดังพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ พวกท่านจงรักกันและกันเหมือนดังกับที่เราพระเยซูรักท่าน ” นี่คือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ในขั้นที่สาม ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงความรักที่ทำให้ผู้คนในสังคมต่างคนต่างอยู่ไม่แยแสต่อกัน แม้ว่าจะเคารพสิทธิซึ่งกันและกันและไม่เบียดเบียนกันก็ตามแต่เป็นความรักที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตัดสินใจที่จะเริ่มก่อน และไม่หยุดเพียงแค่ฝ่ายเดียวที่เริ่มทำก่อนแต่จะมีความรักตอบกลับอีกฝ่ายหนึ่งอีกด้วยและกลายเป็นความรักต่อกันในเวลาต่อมา กลายเป็นชีวิตสนิทสัมพันธ์ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นอกจากนี้ มาตรฐานของความรักชนิดนี้จะไม่ใช่เพียงความรักตามมาตรฐานที่เขามีต่อพระเยซูเท่านั้น แม้ว่าจะมากกว่าความรักที่เขามีต่อตัวเขาเองก็ตาม แต่ในขั้นนี้จะเป็นความรักตามมาตรฐานของพระเยซูที่พระองค์มีต่อพวกเขาและความรักที่พระองค์ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาก็คือ ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อพวกเขานั่นเองพระเยซูอาสาทำให้ดู ทำให้เห็นก่อน พระองค์ทรงสอนว่า ไม่มีความรักใดใหญ่ยิ่งกว่าสละชีวิตตนเพื่อมิตรสหาย เพื่อบุคคลที่คนรัก ความรักขั้นนี้ถือเป็นขั้นอุดมคติเป็นขั้นสูงสุดที่คนๆคนหนึ่งมอบให้ได้ นั่นคือ ให้หมดทั้งชีวิต แต่ในชีวิตจริงในสภาพแวดล้อมไม่ได้เรียกร้องถึงขั้นนี้เสมอไป อาจจะพูดได้ว่า เป็นการผ่อนส่งซะมากกว่า หมายถึง การเสียสละแบบผ่อนส่งไปวันละวันจนตลอดชีวิตไม่ว่าจะเป็นชีวิตในครอบครัวชีวิตในทุกแห่งในสังคม

และวันนี้ ซึ่งเป็นวันฉลองนักบุญยอห์น บอสโก อันเป็นนามชื่อของวัดและสถานศึกษาแห่งนี้ เรามีตัวอย่างจริงที่เห็นได้อย่างชัดเจนในชีวิตของท่านเป็นต้นในเรื่องความรักต่อเพื่อนมนุษย์ที่เป็นเด็กและเยาวชนผู้เป็นอนาคตของสังคมและของพระศาสนจักร ท่านได้อุทิศชีวิตของท่านทั้งหมดเพื่อบรรดาเยาวชนให้เจริญเติบโตขึ้นในทุกมิติของชีวิตพวกเขา

ท่านเกิดในปี ค.ศ.1815 จากครอบครัวยากจนในประเทศอิตาลี แต่ความยากจนในชีวิตของท่านไม่ได้ทำให้ท่านขมขื่นตรงข้ามกลับกลายเป็นแรงจูงใจให้ท่านในฐานะที่เป็นพระสงฆ์องค์หนึ่งให้ความเอาใจใส่ดูแลบรรดาเยาวชนให้พวกเขาเจริญชีวิตของพวกเขาในสภาพที่ยากจนดังกล่าวผ่านพ้นไปและเติบโตต่อไปได้ ท่านพยายามนำบรรดาเยาวชนจากในเมืองออกไปสู่ชนบทอันเป็นสถานที่ๆพวกเขาจะได้ชื่นชมกับชีวิตอย่างมีความสุขโดยการพักผ่อนหย่อนใจในทางสร้างสรรค์กับการเล่นกลของท่านและได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูและพระศาสนจักรของพระองค์

ต่อมาท่านได้จัดตั้งกลุ่มพระสงฆ์ภายใต้การอุปถัมภ์ของนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ ซึ่งได้ชื่อต่อมาว่า “คณะซาเลเซียน” เพื่อต่องานการดูแลอภิบาลเด็กและเยาวชน และอีกประการหนึ่งซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของพ่อบอสโก ก็คือ ความฝันของท่าน ตั้งแต่ในเยาว์วัย ท่านก็ฝันเห็นอนาคตว่า ท่านเป็นเช่นไร และจะเป็นไปได้อย่างไร และความฝันเหล่านั้นก็ได้กลับกลายเป็นความจริง ต่อมา ท่านก็ได้ฝันเห็นถึงอนาคตของพระศาสนจักร วิกฤตต่างๆที่พระศาสนจักรต้องประสบและการฟื้นฟูพระศษสนจักที่จะเกิดขึ้นตามมา ความฝันเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ชีวิตของท่านกลายเป็นอัมพาตสะดุดหยุดลงเพียงในจินตนาการหรือไตร่ตรองเท่านั้น แต่ได้ผลักดันท่านให้ทุ่มเททำงานมากขึ้นในช่วงเวลาขนาดนั้น เพื่อทำให้พระศาสนจักรเข้มแข็งขึ้นเพื่อเผชิญกับอนาคตได้ทุกรูปแบบ

“ พี่น้องที่รักทุกท่าน เราที่นี่ต่างกับท่านนักบุญยอห์นบอสโก เราไม่ได้รับพระพรการเป็นคนช่างฝันเหมือนท่าน แต่เราสามารถเป็นเหมือนท่านในการทำให้พระศาสนจักรเข้มแข็งขึ้นเพื่อเผชิญกับอนาคตได้ทุกรูปแบบได้ โดยดำเนินชีวิตซื่อสัตย์ต่อความเชื่อของเราในปัจจุบันนี้ เป็นความรักต่อพี่น้องเพื่อนมนุษย์ เป็นข่าวดีแห่งความรักของพระคริสตเจ้าแก่ทุกคนที่เราพบเห็น โดยเฉพาะสำหรับเด็กและเยาวชน เริ่มต้นจากครอบครัวของเราเองก่อน กับลูกๆหลานๆ เด็กๆ และเยาวชน ที่เรารับฝากไว้ในฐานะครูคาทอลิก ครูจิตตาภิบาล อาจารย์ในมหาลัย ที่ๆเราทำงานอยู่ และรวมทั้งในฐานะที่เราเป็นพระสงฆ์นักบวชผู้ถวายตัวแด่พระเจ้าเพื่ออภิบาลดูแลและประกาศข่าวดีโดยตรง

ก่อนจะจบบทเทศน์วันนี้ พ่ออยากจะอ่านข้อความบางตอนจากจดหมายฉบับหนึ่งของท่านนักบุญยอห์นบอสโกที่เขียนถึงสมาชิกคณะทุกท่าน เพื่อเราที่นี่จะได้เข้าใจจิตตารมย์ความรักต่อเด็กและเยาวชนของพ่อบอสโกจากตัวท่านเองโดยตรง ท่านเขียนไว้ในจดหมายฉบับนั้นว่า ถ้าเราปรารถนาที่จะแสดงตัวว่าเป็นเพื่อนแท้ของเด็กในความดูแลของเรา เพื่อช่วยให้เขาปฏิบัติตามหน้าที่ของพวกเขา เราต้องไม่ลืมว่า เราผู้เป็นผู้แทนของพ่อแม่ ซึ่งรักลูกๆของเขาดังพ่อเองได้ทำโดยไม่หยุดหย่อน ได้ศึกษาเล่าเรียน ได้ใช้สงฆ์ของพ่อเพื่อรักและช่วยเหลือเยาวชนเหล่านี้เสมอมา ไม่เพียงแต่พ่อคนเดียวเท่านั้น คณะนักบวชคณะซาเลเซียนก็ทำเช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้าพวกเธอจะเป็นดังพ่อของพวกเด็กเหล่านี้วกเธอต้องมีดวงใจที่รักเด็กและจะต้องไม่ลงโทษเด็กโดยปราศจากเหตุผลและอย่างอยุติธรรม หรือเพื่อบังคับพวกเขาให้เพียงทำหน้าที่ของพวกเขาเท่านั้น ลูกๆที่รักตลอดเวลาที่พ่อทำงานนี้ได้เป็นเวลายาวนาน พ่อได้หวนคิดถึงความจริงสำคัญประการนี้อยู่บ่อยๆว่า มันง่ายที่จะเกิดขึ้นเป็นดังแทนที่จะเปลี่ยนคน หรือขู่เข็ญเด็กๆแทนที่จะพูดเชิญชวน ยิ่งกว่านั้น พ่ออยากจะกล่าวว่า เรามักจะลงโทษด้วยโทสะและทิฐิของเราง่ายกว่าที่จะตักเตือนด้วยความเพียร  ใช้วิธีที่หนักแน่นและนุ่มนวลควบคู่กันไป

พ่ออยากให้พวกเธอเลียนแบบความรักของท่านนักบุญเปาโลที่มีต่อบรรดาคริสตชนที่กลับใจใหม่ ไม่ใช่เห็นพวกเขาไม่เอาใจใส่และไม่ตอบสนองความรักของท่าน ก็อาศัยความรักนั้นเองกระตุ้นให้ท่านเสียใจและภาวนาสำหรับพวกเขา จงระวังให้ดีเมื่อเราลงโทษผู้ใดก็เป็นการยากที่จะรักษาอารมณ์ของเราให้สงบซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น คือ ไม่ให้ผู้อื่นมีความรู้สีกว่า เธอกำลังจะทำเพื่อรักษาอำนาจหรือทำไปด้วยความโกรธที่เข้าครอบงำจิตใจของตัวเอง เราควรถือว่า บรรดาผู้ที่มีความดูแลปกครองของเราเป็นเสมือนลูก โดยตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับใช้พวกเขาดังที่พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาในโลกนี้เพื่อรับใช้และไม่ใช่เพื่อบงการ เราควรจะรู้สึกละอาย หากเด็กบางคนรู้สึกเพียงเล็กน้อยว่า เราปกครองดูแลพวกเขาโดยเฉียบขาด เราควรแจงหน้าที่เรามีเหนือเด็กๆ เพื่อรับใช้พวกเขาอย่างดีเท่านั้น และนี่เป็นวิธีที่พระเยซูเจ้าทำต่อบรรดาอัครสาวกของพระองค์ สยบคนความโง่เขลา ความเฉื่อยชา และความเชื่อน้อยของพวกเขา ท่าทีที่พระองค์มีต่อคนบาปนั้นแสดงถึงความใจดี ความรักดุจเพื่อนต่อพวกเขา ซึ่งทำให้บางคนประทับใจและบางคนอาจจะถือเป็นที่สะดุด แค่สำหรับอีกบางคนเป็นความหวังว่า พระเจ้าจะทรงอภัยแก่เขา เนื่องจากเด็กๆเหล่านี้เปรียบเสมือนลูกๆของเรา เราจึงต้องไม่แสดงความโกรธเคืองเมื่อเราจะต้องแก้ไขความประพฤติของเขา หรืออย่างน้อยอย่าแสดงความโกรธนั้นออกมานอกบ้าน ไม่ต้องให้ความโกธรของเราระเบิดออกมา ไม่ต้องดูผู้น้อยด้วยความประหม่า ไม่ต้องกล่าววาจาที่เจ็บแสบ ตรงข้ามให้ปฏิบัติที่มุ่งให้ลูกๆมีโอกาสแก้ไขตนให้ดีขึ้นอย่างแท้จริง แสดงความเมตตาสงสารพวกเขาสำหรับความผิดในปัจจุบัน และหวังเสมอว่า เขาจะดีขึ้นในภาคหน้า ในกรณีที่สำคัญๆควรภาวนาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยใจสุภาพดีกว่าที่จะดุด่าเสียยืดยาวที่มีแต่ให้รำคาญหูและไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ประพฤติผิดเลย ”

พี่น้องที่รัก หลังจากได้อ่านบทจดหมายของพ่อบอสโกฉบับนี้แล้ว พ่อเองก็รู้สึกว่าตนเองต้องกลับใจเป็นคนแรก และคงจะไม่สายเกินไปที่เราจะคิดเช่นนี้เพื่อภารกิจอภิบาลดูแลและการประกาศข่าวดีแก่เด็กและเยาวชนเกิดผลอย่างแท้จริงในจิตใจพวกเขา

วันนี้เราฉลองนักบุญยอห์นบอสโก และต่อจากนี้ไปจะมีลูกๆเยาวชนอีกหลายคนได้รับศีลกำลัง รวมทั้งผู้ใหญ่อีกบางคนด้วย ศีลกำลังที่พี่น้องทุกคนได้รับแล้ว และลูกๆของเราและเพื่อนๆของเราจะได้รับในวันนี้ด้วย ซึ่งจะทำให้เราคริสตชนเข้มแข็งขึ้น เติบโตมีวุฒิภาวะความเชื่อจนสามารถก้าวออกไปดำเนินชีวิตท่ามกลางสังคมปัจจุบันได้ เป็นพยานถึงความรักของพระเยซูคริสตเจ้าให้แก่พี่น้องชาวไทยคนอื่นๆ ที่ยังไม่มีโอกาสรู้จักพระเจ้าองค์ความรักของเราคริสตชน พ่อเชื่อว่าเราคริสตชนก็ตัดสินใจแล้วในวันนี้ว่า เราเป็นพยานและจะประกาศข่าวดีแก่ผู้อื่นและวันนี้ เราก็เรียนรู้วิธีใหม่ในการเป็นพยานและประกาศข่าวดีแล้วนั้นก็คือเริ่มจากการดำเนินชีวิตปฏิบัติตามพระวรสารทั้งในชีวิตส่วนตัวของเราแต่ละคนททั้งรวมกันในครอบครัวในชุมชนวัดในสถาบันนักบวชในกลุ่มองค์กรฆราวาส ให้เราภาวนาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เพื่อเราจะฝึกการปฏิบัติการประกาศข่าวดีนี้ตลอดปีความเชื่อ

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เปิดหูข้าพเจ้าเพื่อให้รับฟังพระวาจาของพระองค์ แม้ว่า บางครั้งข้าพเจ้าอาจจะไม่อยากจะฟังก็ตาม เพราะพระวาจาของพระองค์ท้าทายข้าพเจ้าทั้งหลายมากกว่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายพร้อมจะเสียสละให้ได้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดจิตใจข้าพเจ้าทั้งหลายให้เปิดรับพระวาจาของพระองค์เพื่อข้าพเจ้าจะได้รำพึงไตร่ตรองพระวาจานั้น เพราะบางครั้งข้าพเจ้าทั้งหลายรู้สึกว่า พระวาจาของพระองค์รบกวนข้าพเจ้าทั้งหลายมากเกินกว่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายพร้อมจะอุทิศชีวิตให้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าทุกคนให้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ทุกคนเพราะนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตตามพระวาจานั้น แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ไม่อยากลงทุนลงแรงเปลี่ยนแปลงชีวิต เหนืออื่นใดหมด อาศัยแบบอย่างและเสนอคำวิงวอนของพ่อบอสโก ขอโปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รับรู้ว่า พระองค์ไม่ทรงเคยขอให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใดโดยที่ไม่ได้ประทานพระพรให้อย่างเพียงพอที่จะทำตามนั้นได้เลย เพราะพระองค์ทรงพระทัยกว้างต่อข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอมา อาแมน

ในพระหว่างพิธีมิสซา พระคุณเจ้า เกรียงศักดิ์ ได้โปรดศีลกำลังแก่นักเรียนและผู้ใหญ่

เมื่อพิธีบูชาของพระคุณสิ้นสุดแล้ว ผู้แทนของผู้รับศีลกำลังได้กล่าวขอบพระคุณพระอัครสังฆราช พร้อมกับมอบดอกไม้เป็นการขอบพระคุณ หลังจากนั้นผู้อำนวยการสภาภิบาลวัดได้กล่าวสุนทรพจน์ขอบพระคุณพระอัครสังฆราช พร้อมกับมอบมาลัยกร จากนั้น พระคุณเจ้ากล่าวตอบ และร่วมถ่ายภาพกับบรรดาผู้รับศีลกำลัง

บรรยากาศของพิธีกรรมในวันนี้เป็นไปด้วยความสง่างาม ด้วยการนำขับร้องบทเพลงในพิธีบูชาขอบพระคุณจากสถาบันธิดาพระราชินีมาเรีย และนักเรียนประจำของวิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก กรุงเทพฯ มีผู้ร่วมมิสซาเป็นจำนวนมากเต็มที่นั่งในวัด หลังจากพิธีกรรมในวัดแล้ว ทุกคนได้รับประทานอาหารพร้อมหน้ากันในบรรยากาศของครอบครัวซาเลเซียน และมีการแสดงยอเกียรตินักบุญยอห์น บอสโก จากนักเรียนประจำของวิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก กรุงเทพฯ และกลุ่มเยาวชนของวัด

ขอบพระคุณพระเจ้าที่โปรดให้งานสมโภชนักบุญยอห์น บอสโก ผ่านพ้นไปด้วยดีจากความร่วมมือของพี่น้องทุกท่าน