ภาพ / ข่าว นิพัทธ์ สิริพรรณยศ  อาสาสมัครช่วยงานแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม 2013 คุณพ่อ นิโคลาส ศักดิ์ชัย ทรัพย์อัประไมย เจ้าอาวาสวัดพระคริสตประจักษ์ เกาะใหญ่ ได้จัดงานฉลองวัดประจำปี 2013 โดยได้รับเกียรติจากพระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู พระอัครสังฆราชกิตติคุณแห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เป็นประธานในพิธี

เวลา 10.00 น. คุณพ่อเจ้าอาวาส คณะครู นักเรียน โรงเรียนไตรราชวิทยา สภาภิบาล บรรดาสัตบุรุษร่วมกันต้อนรับพระคาร์ดินัล หลังจากพระคุณเจ้าสวดภาวนาต่อศีลมหาสนิทแล้ว บรรดาสัตบุรุษได้พากันจูบแหวนพระคุณเจ้าเป็นจำนวนมาก

เวลา 10.30 น. พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ โอกาสสมโภชพระคริสต์เจ้าแสดงองค์ โดย พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู พร้อมด้วย คุณพ่อ เปโตร วิทยา แก้วแหวน หัวหน้าพระสงฆ์ เขต 6 คุณพ่อ ยอห์น ไพริน เกิดสมุทร อดีตเจ้าอาวาส และบรรดาพระสงฆ์กว่า 30 องค์

พระคาร์ดินัล ได้เทศน์ให้ข้อคิดว่า

“พี่น้องที่รัก ถ้าจะถามว่าแต่ละคนซึ่งมาร่วมเฉลิมฉลองพระคริสตประจักษ์ในวันนี้ ดีใจมั๊ย เชื่อว่าทุกคนคงดีใจ ทำไมจึงดีใจ ที่ดีใจเนื่องจากว่าเราได้รับข่าวดี ข่าวดีนี้คือการมาบังเกิดขององค์พระเยซูเจ้า และเราที่มาร่วมฉลองพระกุมารเจ้าในวันนี้มีจุดประสงค์อะไร ต้องการอะไร เชื่อว่า ความเข้าใจของเรา ความเชื่อที่เรามี ความศรัทธาที่เรามี ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราต้องการเข้ามากราบนมัสการองค์พระกุมารเจ้า เหมือนกับบัณฑิตทั้งหลายได้กระทำในวันนั้น เราจะกระทำอะไร เรามีมดยอบติดตัวมามั๊ย เรามีกำยานติดตามตัวมามั๊ย เรามีทองคำมามั๊ย แต่ที่เรามากราบนมัสการองค์พระกุมารเจ้าในวันนี้ เรามีจุดประสงค์แน่วแน่ว่าเราต้องการถวายตัวเราแต่ละคน ต้องการถวายครอบครัวของเรา ต้องการถวายวัดของเรา ต้องการถวายประเทศไทยของเรา และมนุษย์ทุกคนในโลกให้อยู่ในพระพรของพระเป็นเจ้า เรามาขอพระพรจากพระกุมารเจ้าด้วยความเชื่อที่เรามี เราไม่ต้องไปถึงเบธเลเฮม แต่เรามาที่นี้ด้วยความเชื่อที่เรามีในองค์พระเยซูคริสตเจ้า ด้วยความศรัทธาที่เรามีในคำสอนของพระองค์ และด้วยความหวังว่า วันหนึ่ง เราจะได้มีโอกาสกราบนมัสการองค์พระเป็นเจ้า พระเยซูคริสตเจ้าในสรวงสวรรค์เป็นนิรันดร ดังคำภาวนาที่พระศาสนจักรให้เราภาวนาในวันนี้ เราภาวนาว่า วันนี้ พระองค์ทรงบันดาลให้ดาวนำนานาชาติมารู้จักพระบุตร คือ พระเยซูคริสตเจ้า และบทภาวนานี้บอกกับเราชัดเจนว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายคือเราแต่ละคนนี้แหละรู้จักพระองค์ จึงต้องถามว่า เรารู้จักพระองค์มากน้อยแค่ไหน เรามารู้จักพระองค์โดยอาศัยความเชื่อ

ในปีแห่งความเชื่อนี้ พระสันตะปาปาประกาศเพื่อเรียกร้องเราให้ทุกคนเสริมสร้างความเชื่อซึ่งเป็นพระพรพิเศษที่พระเป็นเจ้าประทานให้กับเราเมื่อเราได้มาเป็นคริสตชน ให้ความเชื่อของเราได้พัฒนา ให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งยิ่งๆขึ้น และในบทภาวนานี้ เราขออะไร โปรดนำไปชมพระพักตร์พระองค์ด้วยเถิด ณ บัดนี้ ด้วยสายตาที่เรามี เราไม่สามารถเห็นองค์พระเป็นเจ้า องค์พระเยซูคริสตเจ้าเหมือนดังบัณฑิตที่ไปนมัสการพระองค์ แต่ด้วยความเชื่อ โปรดนำไปชมพระพักตร์พระองค์ด้วยเถิด นี่เป็นจุดประสงค์ที่เรามาร่วมเฉลิมฉลองวันพระคริสตประจักษ์

เรื่องบัณฑิตหรือวันพระคริสตประจักษ์ เมื่อเราได้ฟังพระวรสารโดยท่านนักบุญมัทธิวในวันนี้ บัณฑิตนั้นคงอยู่ห่างไกลพอสมควรจากดินแดนที่พระเยซูเจ้าทรงบังเกิด แต่ว่าด้วยแสงสว่างของดวงดาวนั้น ทำให้บัณฑิตมีใจซื่อ มีใจต้องการที่จะทราบความจริงว่าอะไรเกิดขึ้น จึงเดินทางไปพบองค์พระกุมารเจ้า เมื่อไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งมีกษัตริย์เฮโรดปกครองอยู่ แน่หล่ะตามประสามนุษย์ ผู้มีบุญ ผู้ยิ่งใหญ่ ก็จะต้องบังเกิดในสถานที่ยิ่งใหญ่และใหญ่โต จึงวิธีของท่าน จึงไปถามกษัตริย์ว่าผู้มีบุญเนี่ยเกิดที่ไหน เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้รับคำถาม พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัย บัณฑิตปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้พบองค์พระกุมารเจ้า กษัตริย์เฮโรดเมื่อทราบว่าพระกุมารบังเกิดแทนที่จะดีใจกลับวุ่นวาย ทำไมจึงวุ่นวาย เพราะว่าเฮโรดตอนนั้นได้ดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์ ใครจะมาใหญ่เท่า เพราะฉะนั้นไม่สบายใจ ทำให้เราต้องมาคิดถึงประวัติในชีวิตของเรา ความเป็นมาในชีวิตของเรา บางครั้งบางคราว เราอาจจะวุ่นวายใจในเรื่องทำนองนี้ก็เป็นไปได้ จะแก้ไขความวุ่นวายใจอย่างไร กษัตริย์ก็ทรงเรียกบรรดาสมณะ พวกคณะสงฆ์ เพื่อถามว่า พระคริสต์ประสูติที่ใด ก็ดี ในชีวิตของเราอาจจะมีความไม่สบายใจมีความเดือดร้อนใจ สิ่งหนึ่งที่ควรกระทำนะ ไม่ใช่เอาความทุกข์ยาก เอาความไม่สบายใจเหล่านั้น เก็บไว้ในหัวใจของเรา ในชีวิตของเราเพียงคนเดียว ลูกๆควรถามพ่อแม่ สามีภรรยาควรถามปรึกษาซึ่งกันและกันหรือผู้ที่รู้ ผู้ที่เราเคารพนับถือ ผู้ที่เราไว้วางใจ เราควรที่จะไปถามดูว่า เรื่องของเราเป็นอย่างงี้ มีความคิดอย่างไร เป็นสิ่งที่ดีนะ นี่เฮโรดทำดีปรึกษาหารือ แต่ว่าจุดประสงค์ของการปรึกษาหารือนั้น มันเป็นความคิดร้าย ประสงค์ร้าย เพราะรู้แล้วจะไปจัดการ แต่ว่าทำเป็นหน้าซื่อใจคต หน้าไหว้หลังหลอก สังคมเราในโลกนี้ ปัจจุบันนี้ สภาพเช่นนี้มีเยอะ ตบหัวแล้วลูบหลัง บ่อยครั้งเป็นอย่างนั้นไม่มีเจตนาตรง เจตนาอ้อม เอาหล่ะ จงไปสืบเรื่องพระกุมารให้ละเอียดแล้วจงกลับมาบอกให้เรารู้ เราจะไปนมัสการด้วย โกหก ปากกับใจไม่ตรงกัน นี่เป็นบทเรียนบทสอนสำหรับเราที่ได้มาร่วมฉลองในวันนี้ว่า ความเป็นจริงในชีวิต ประสบการณ์แต่ละคนบางครั้งมันเกิดเช่นนี้จริงๆ และยิ่งกว่านั้น เมื่อเราประสบความทุกข์ยากประสบความทุกข์ร้อนประการใดก็ตาม เราก็เข้าไปหาพระองค์ ไปขอพระองค์
 

และต่อไปจากเรื่องราวที่กล่าวนี้ เมื่อบัณฑิตได้รับคำตอบคงดีใจมากๆ ก็ได้เห็นแสงสว่างปรากฏ นำท่านไปสู่เบธเลเฮม เมื่อท่านเดินทางไปถึงเบธเลเฮมแล้ว เข้าไปในบ้านพบพระกุมารและพระนางมารีย์พระมารดาจึงคุกเข่านมัสการพระองค์ วันนี้เรามีโอกาสเหมือนกับบัณฑิตเหล่านี้มาที่นี้ด้วยความเชื่อของเรา เรามากราบองค์พระเยซูคริสตเจ้าบนพระแท่นบูชาในวันนี้ บัณฑิตเหล่านี้ได้ไปนมัสการพระกุมารด้วยพระพรของพระเป็นเจ้า ด้วยความบริสุทธิ์ใจของตนที่เชื่อว่า นี่คือองค์พระคริสตเจ้า

เราก็เช่นกัน เราไปกราบองค์พระกุมารเจ้า พระเยซูคริสตเจ้าด้วยความเชื่ออันสูงสุดของเรา ในฐานะที่พระกุมารมีสถานะอะไร บัณฑิตที่ไปกี่องค์ก็ตามไม่สำคัญ ได้เปิดหีบสมบัติ นำทองคำ นำกำยาน นำมดยอบมาถวายพระองค์ ณ ที่นี้ ตามคำอธิบายก็ได้บอกให้เราได้รู้ว่า สิ่งที่เรามอบถวายนั้นมีความหมาย ทองคำเป็นเครื่องหมายถึงการเป็นกษัตริย์ แสดงว่าพระเยซูเจ้ามีสถานะเป็นกษัตริย์แห่งพิภพ กำยานหมายถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ หมายถึง พระกุมารเจ้าเป็นพระเจ้าแท้ และมดยอบตามธรรมเนียมใช้สำหรับชโลมพระศพ หมายความว่า เป็นมนุษย์ จึงทำให้เราได้รู้ว่าบัณฑิตทั้งสามโดยอาศัยองค์พระจิตเจ้าที่ประทานให้ขณะนั้นบอกให้บัณฑิตทราบว่า พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าแท้ มนุษย์แท้ และเป็นผู้ปกครองสากลจักรวาล ซึ่งปกครองด้วยความรัก ยุติธรรม

ต่อไป พระเจ้าทรงเตือนเขาไม่ให้กลับหากษัตริย์เฮโรด เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น พี่น้องที่รัก ส่วนนี้ เราทุกคนได้รับพระพร ได้รับความรัก ได้รับเมตตายิ่งใหญ่ที่พระเป็นเจ้าประทานแก่เรา คือ ให้เรามีประชากรของพระเป็นเจ้า จงภูมิใจ เป็นประชากรเท่านั้นไม่พอ เป็นลูกของพระเจ้า เราจึงสวดบทข้าแต่พระบิดา เราเรียกพระเป็นเจ้าเป็นพระบิดา เราเป็นลูก เมื่อเราเป็นลูก สิทธิอันชอบธรรมที่พระเป็นเจ้าจัดเตรียมให้นั้นคือเราเป็นทายาท มีสิทธิมีส่วนในทรัพย์สมบัติที่พระบิดามีอยู่ ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรา คือ บ้านแท้ในสวรรค์

 เราเจริญชีวิตอยู่ในโลกนี้ ในสังสังคมปัจจุบันนี้ เรามีความเชื่อในฐานะคริสตชนก็จริงอยู่ แต่บางครั้งบางคราวในชีวิตของเรา แสงสว่างเหมือนดาวดวงนั้นมันมืดมิดไปชั่วคราวในชีวิต เพราะมนุษย์เรามีกิเลสตัณหามาบดบัง มีความโลภมาบดบัง มีความโทสะมาเบียดบังทำให้เราไม่ได้เห็นองค์พระเจ้า เราอยู่ในความมืด นี่แหละ จึงเป็นโอกาสที่เรามาเฉลิมฉลองมากราบองค์พระกุมารเจ้าเหมือนดังบัณฑิตทั้งหลาย โปรดประทานพระพรแก่เรา ให้เมฆแห่งความมืดมนในชีวิตของเราทั้งหลายผ่านพ้นไปและเราจะพยายามทำให้ชีวิตของเราอยู่ในหนทางแห่งความสว่างของพระเยซูคริสตเจ้าตลอดไปและส่วนนี้ พระเยซูคริสตเจ้าประกาศว่า ท่านจงเป็นเกลือของแผ่นดิน ท่านจงเป็นแสงสว่างส่องสว่างแก่พี่น้องของเรา เพราะฉะนั้น ความประพฤติทั้งหลาย การกระทำทั้งหลายของเราแต่ละคนจะต้องมีคุณค่า คุณค่าแห่งคุณธรรม คุณค่าแห่งจริยธรรม รวมทั้งให้การกระทำของเรานี้ เป็นแสงสว่างให้คนอื่นได้เห็นความรักความเมตตาที่เป็นพระเป็นเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ทุกคน นั้นแหละ เราจึงจะได้ชื่อว่า ลูกที่ดีของพระเป็นเจ้า ”

หลังบทภาวนาหลังรับศีล ตัวแทนสภาภิบาลได้กล่าวขอบคุณพระคาร์ดินัล จากนั้น พระคาร์ดินัลกล่าวตอบ และอวยพรสัตบุรุษอย่างสง่า

จากนั้น เป็นการเทิดเกียรติองค์พระกุมาร โดยเริ่มจากการโยนกำยาน แห่รอบวัด และโยนกำยานอีกครั้ง สวดภาวนา ถวายช่อดอกไม้

บรรยากาศในวันนี้ วัดได้ถูกบูรณะใหม่อย่างสวยงาม ประกอบกับวัดนี้ มีบรรยากาศที่ดีเนื่องจากเป็นวัดที่ติดกับริมน้ำ และในปีนี้ ทางวัดได้จัดทำบุษบกและองค์พระกุมารใหม่อย่างสวยสดงดงาม

พิธีในวันนี้ มีสัตบุรุษมาร่วมพิธีฉลองวัดเป็นจำนวนมาก