โดย...ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

Share |

ประมวลภาพพิธีปฏิญาณตนครั้งแรกของ ซิสเตอร์ มาเรีย โรซา มัสติกา คณะซิสเตอร์ กลาริส กาปูชิน สามพราน จ.นครปฐม

          วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2011    อาราม กาปูชิน สามพราน ได้จัดพิธีปฏิญาณตนครั้งแรกของ ซิสเตอร์ มาเรีย โรซา มิสติกา ( จันทร์ธิมา คงคาอุทิศ )ตอบเสียงเรียกของพระ เข้าสู่การถวายตัวรับใช้พระเจ้า ณ อารามกลาริส กาปูชิน อ.สามพราน จ.นครปฐม ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของผู้มาร่วมงาน และสมาชิกของคณะ ซึ่งปีนี้ถือเป็นพิเศษ ที่คณะกลาริส กาปูชินทั่วโลก พร้อมใจกันเฉลิมฉลอง 800 ปี การออกจากบ้านเพื่อเข้าอารามของนักบุญคลารา และ จะปิดการฉลองนี้ในวันที่ 11 สิงหาคม ของปีหน้า

          เวลา 9.30 น. พระอัครสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช เดินทางมาถึง และได้สวดภาวนาภายในวัดของอาราม จากนั้นเวลา 10.00 น. พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ พิธีปฏิญาณตนครั้งแรกของ ซิสเตอร์ มาเรีย โรซา มิสติกา ชื่อเดิม (จันทร์ธิมา คงคาอุทิศ ) สัตบุรุษวัดนักบุญยอห์น บัปติสต์ แม่โถ  บ้านแม่จาง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นบุตรสาวคนที่ 3 จากจำนวนพี่น้อง 7 คน

          สำหรับพิธีปฏิญาณตน คุณแม่อธิการิณีเจ้าคณะ ได้ถามความสมัครใจของผู้ปฎิญาณตน จากนั้นเป็นการเทศน์ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ  เมื่อเทศน์เสร็จแล้ว ประธานได้ถามสมัครใจ และความพร้อมที่จะมอบตัวแด่พระเจ้า ตามพระวินัยและระเบียบของคณะ ของผู้ที่จะปฏิญาณตน  ในคำกล่าวปฏิญาณตน ซิสเตอร์ มาเรีย โรซา มิสติกา แห่งความรัก ได้ขอปฏิญาณตนเป็นเวลา 3 ปี ที่จะดำเนินชีวิตในความนอบน้อม ปราศจากสิ่งใดเป็นกรรมสิทธิ์  และในความบริสุทธิ์ตามพระวินัยของภคินีผู้ยากจนจากนักบุญคลารา โดยถือเขตพรตที่พระศาสนจักรกำหนดไว้ในธรรมนูญเดียวกัน เมื่อคุณแม่อธิการิณี ตอบรับคำปฏิญาณ ในนามของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพแล้ว ผู้ถวายตนได้เดินไปหาพระสังฆราช เพื่อตัดผม  หลังจากที่ตัดผมเรียบร้อยแล้ว พระสังฆราชได้มอบผ้าคลุมศีรษะให้ผู้ถวายตัว  และมอบหนังสือพระวินัย และธรรมนูญของคณะ พร้อมทั้งได้มอบกางเขน และตะเกียง จบลงด้วยบทภาวนาเพื่อมวลชน
หลังการอวยพรปิดพิธี พระอัครสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานได้สวมมงกุฎดอกไม้แก่ผู้ปฏิญาณตน  ก่อนจะอวยพรและถ่ายภาพร่วมกัน

          บรรยกาศวันนี้ เต็มเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ตั้งแต่เช้ามีพี่น้องของซิสเตอร์ที่เดินทางมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซิสเตอร์เป็นชนเผ่าปาเกอญอ ในบทขอบคุณ ซิสเตอร์ใหม่ยังได้พูดขอบคุณเป็นภาษาปาเกอญอด้วย และในพิธีปฏิญาณตน สิ่งที่รู้สึกถึงความชื่นชมยินดี อย่างเต็มเปี่ยมก็คงเป็นรอยยิ้มและน้ำตา ของการโมทนาคุณพระเจ้า ที่ได้เห็นซิสเตอร์ ยอมอุทิศตนทั้งครบถวายแด่พระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ ซิสเตอร์ได้ขอบคุณพระเจ้าในกระแสเรียก และยังได้กล่าวให้ข้อคิดใน คำพูดของนักบุญคลารา ที่ให้แง่คิดกับพวกเราทุกคนว่า “หากเรารักสิ่งของในโลกนี้ ผลแห่งความรักแท้จะสูญหายไป” ขอบคุณสำหรับความดีงามของทุกท่านที่ได้ร่วมมือร่วมใจมาช่วยงานในวันนี้ ด้วย

บทเทศน์ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณให้ข้อคิดว่า

          ทำไมศิษย์ที่เดินทางไปเอ็มมาอูด จึงจำพระเยซูเจ้าไม่ได้ เป็นเพราะเขารู้สึกหมดหวัง ที่พระเยซูเจ้าได้ตายจากพวกเขาไป อุดมการณ์ทั้งหลายได้หายไป จึงต้องกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิด ระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้น พวกเขาสนทนากันถึงความสิ้นหวัง เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องของตนเอง จนลืมคำสอนที่พระเยซูเจ้าเคยสอนว่า พระองค์ต้องรับทรทานและจะกลับเป็นขั้นมา และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อพระเยซูเจ้าบิปัง พวกเขาจึงจำพระองค์ได้ เหตุการณ์ที่เอ็มมาอูดนี้ พี่น้องคิดอย่างไร  วิธีที่ทำให้พระเยซูเจ้าองค์แห่งความรักยังคงประทับใจอยู่กับเราตลอดไป “นี่เป็นวิถีทางแห่งความรอดพ้น วิธีนำเสนอของพระเจ้าองค์ความรัก ได้สัมผัสกับความรักของพระเยซูเจ้า”  เราคงต้องย้อนกลับไปคิดว่า ก่อนหน้านี้ โทมัสเองก็บอกว่า จะไม่เชื่อจนกว่าจะได้เอามือแยงเข้าไปยังสีข้าง แต่เมื่อเขาได้สัมผัส เขาก็กลับมีความเชื่อ และสุดท้าย โทมัสนี้เองก็ได้ไปประกาศพระวรสารที่ประเทศอินเดีย พระเยซูเจ้าทรงได้ให้ความหมายอะไรบางอย่างกับชีวิตของเรา ทำไมศิษย์จึงสิ้นหวังเมื่อเห็นพระอาจารย์ของพระเขาสิ้นพระชนม์ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อวันที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ชีพชีวิตของศิษย์ของพระองค์ที่เคยสิ้นหวัง ก็กลับมีความหวังขึ้นอีกครั้งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ โดยอาศัยพระจิตเจ้า พวกเขาประกาศเทศน์สอน และยืนยันถึงการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า พวกเขาไม่กลัวอีกแล้ว ความหวังกลับฉายแสงเป็นดังแสงสว่าง

          เหตุการณ์ที่พวกเขาไปอธิฐานภาวนาและได้ช่วยคนง่อย นักบุญเปโตรบอกกับคนง่อยนั้นว่า “เราไม่มีเงินทอง แต่ข้าพเจ้าจะให้ในสิ่งที่มี” สมัยก่อนแม้ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่วางรากฐานอยู่ที่การแบ่งปันกัน ใครมีอะไรก็นำมาแบ่งปันกัน เป็นวิถีชีวิตของคนในยุคนั้น เปโตรจึงบอกว่าในนามพระเยซูเจ้า จงเดินไปเถิด ประกาศความเชื่อ  เมื่อเรามีพระเจ้าผู้รักเราอย่างไม่มีขอบเขต เรายังต้องกลัวอะไรอีก อาศัยชุมชนแห่งความรัก และการดำเนินชีวิตในความรัก ในตัวเราเอง เราไม่อาจแบกกางเขนด้วยตัวเราเอง แต่อาศัยพี่น้องคริสตชนที่รวมตัวกัน อาศัยพระวาจาของพระเจ้า รวมตัวกันดำเนินชีวิตอาศัยความเชื่อร่วมกัน