โดย...ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

Share |

          วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2011 / 2554 เวลา 17.00น. พระสังฆราชยอแซฟ สังวาลย์ ศุระศรางค์ เป็นประธานในพิธีโปรดศีลกำลังให้กับนักเรียนคำสอนภาคฤดูร้อนเขต 1 และค่ายคำสอนภาคฤดูร้อน บ้านสวนยอแซฟ ที่จัดโดยศูนย์คริสตศาสนธรรมกรุงเทพฯก็มาร่วมรับศีลกับนักเรียนเขต 1 ด้วยเช่นเดียวกัน  โดยมีประธานร่วมคือ คุณพ่อณรงค์ รวมอร่าม คุณพ่อสุทธิ ปุคะละนันท์ พร้อมด้วยบรรดานักเรียนคำสอน พ่อแม่อุปถัมภ์ และญาติพี่น้องมาร่วมแสดงความยินดีกับเด็กๆในวันนี้เป็นจำนวนมาก ณ อาสนวิหารอัสสัมชัญ

          พระคุณเจ้าสังวาลย์เทศน์ให้ข้อคิดกับเด็กๆในวันนี้ว่า ก็ขอสวัสดีกับทุกๆท่านอีกครั้งในเย็นวันนี้ วันนี้นอกจากผู้มาร่วมมิสซา เป็นประจำเรายังมีผู้ที่จะรับศีลกำลังอีกประมาณ80กว่าคน  และผู้ที่มารับศีลกำลังในวันนี้ก็จะมีบิดามารดาและพ่อแม่ทูลหัวอีกกลุ่มหนึ่งด้วย เมื่อพูดถึงศีลกำลัง        ทำให้พ่อคิดว่าพระศาสนจักรได้ให้ดูแลเอาใจใส่มนุษย์เราโดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตชนในแรกเกิด เหมือนพ่อแม่ที่ดูแลเอาใจใส่ลูกตั้งแต่อ้อนแต่ออก กว่าเขาจะโตและดูแลเอาใจใส่ตัวเองได้ ก็ต้องทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง

          พระศาสนจักรเช่นเดียวกันได้ดูแลชีวิตฝ่ายวิญญาณของสมาชิกของพระศาสนจักรอย่างดีตลอดเริ่มตั้งแต่การให้รับศีลล้างบาป ตั้งแต่เล็ก และเมื่อล้่างบาปแล้วชีวิตฝ่ายวิญญาณนั้นเริ่มแล้วก็จริงแต่ก็ต้องค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นยังมีศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นๆอีก 5 - 6 ประการ รวมเป็น 7 ศีลกำลังพวกเราจะได้รับในวันนี้ เพื่อพระศาสนจักรจะช่วยให้คริสตชนนั้นเจริญเติบโตขึ้นทางด้านจิตใจไปด้วย

          ที่เราสังเกตในสังคมปัจจุบันนี้เด็กๆของเราเติบโตในฝ่ายร่างกาย นอกจากร่ายกายโตขึ้นแล้วความรู้ทางด้านโลก ทางด้านวิชาการต่างๆเจริญเติบโตขึ้นมาก แต่ว่าวิญญาณนั้นแคระ แกน ไม่โตตามไปด้วย ความรู้ทางด้านพระศาสนจักรนั้นในเรื่องพระธรรมคำสอนน้อยและก็การปฏิบัติศาสนกิจก็น้อยด้วย พระศาสนจักรพยายามที่จะช่วยให้มนุษย์เจริญเติบโตตั้งฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณพร้อมๆกัน เราจะเห้นได้ว่าพระเยซูเจ้าทรงตั้งศีลไว้ 7 ประการ และวันนี้เจาจะพูดถึงศีลที่ 80กว่าคนจะได้รับในวันนี้

เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์เพียง3ประการที่รับได้ครั้งเดียว และประการนี้ปกติจะต้องเป็นพระสังฆราชที่จะโปรดศีลกำลังนี้ได้ยกเว้นกรณีที่ให้ผู้อื่นไปแทน ศีลกำลังนี้ทำให้เราคิดถึงพระจิตเจ้า ในพระวรสารพูดถึงตอนที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมายังบรรดาอัครสาวกตอนนั้นเราก็รู้ว่าสถานการณ์ฺพระศาสนจักรสมัยแรกเริ่มนั้นกำลังอยู่ในอันตราย มีการเบียดเบียนรอบด้าน ผู้ก่อตั้งเองก็ถูกจับไปตรึงบนไม้กางเขนตายเหมือนกับคนแพ้ แพ้สงครามบรรดาศิษย์ก็หมดหวังในพระเยซูเจ้า ต่างคนต่างก็ทะยอยกันกลับบ้าน แต่ว่าพระเยซูเจ้าเอง พระองค์ต้องให้พระศาสนจักรให้พระองค์เติบโต และพระองค์ทรงสัญญาและได้ทำตามสัญญาที่ว่าจะส่งองค์บรรเทา จะส่งพระจิตเจ้าลงมา และในวันนั้นเราเห้นว่าพวกสาวกกลัวพวกยิว กลัววเขาจะจับไปตรึงกางเขนเหมือนอาจารย์ พระเจ้าไปไหน! ทั้งๆที่พระเยซูเจ้าได้บอกว่าจงไปทั่วโลก ไปเทศน์สอนให้ทุกคนได้กลับใจ เขากลัวและไม่เชื้่อแน่ว่า พระอาจารย์จะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ จนถึงวันนั้นวันที่สาวกกำลังสวดภาวนาอยู่กับแม่พระ พระจิตเจ้าเสด็จลงมา วันนั้นเกิดเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ เปลี่ยนสาวกเป็นคนละคน บรรดาสาวกที่ขลาดกลัวกลายเป็นคนที่กล้าหาญ ออกไปประกาศตามพระบัญชาขอบพระเจ้าได้อย่างดี อะไรเกิดขึ้นกับจิตใจของเขา “พระคุณของพระจิต” พระจิตเจ้าเสด็จมาในใจเขาทำให้เขาได้เปลี่ยน เปลี่ยนทุกอย่าง จากคนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้ากลับคืนชีพ ก็เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นคงและจากความกลัว กลัวตายก็กลับเป็นคนที่กล้า กล้ายอมตายเพื่อยืนยันความเชื่อให้กับพระเยซูเจ้า อันนี้คือผลของศีลกำลัง เป็นศีลที่เชิญพระจิตเสด็จเข้ามาในจิตใจของเราทุกคน 80 กว่าคนในวันนี้เปิดใจรับพระจิตเจ้า พระองค์จะประธานพระพร พระหรรษทานให้กับพวกเราทุกคนในวันนี้