โดย.....ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2010 พระอัครสังฆราชฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช พระอัครสังฆราชอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เป็นประธานในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณร่วมกับคุณพ่อจำเนียร กิจเจริญ คุณพ่อประชาชาติ ปรีชาวุฒิ  พร้อมด้วยพระสงฆ์ จำนวน 5 องค์ และบราเดอร์คณะเซนต์คาเบรียล     บรรดาพี่น้องสัตบุรุษจำนวนมากโอกาสฉลองวัดนักบุญหลุยส์ มาี เดอ มงฟอร์ต ซึ่งในปีนี้ครบรอบ 40  ปีของวัด ซึ่งปัจจุบันมีคุณพ่อคมสันท์ ยันต์เจริญ เป็นเจ้าอาวาส

พระคุณเจ้าเกรียงศักดิ์เทศน์ให้ข้อคิดฉลองวัดนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต

รุ่งเช้าวันหนึ่ง ณ ลานเรือนจำแห่งหนึ่งในประเทศโปรตุเกส เขากำลังนำนักโทษคนหนึ่ง ไปยิงเป้านักโทษคนนั้นเป็นพระสงฆ์ ถูกตัดสินประหารชีวิต เพราะฮึดสู้นโยบายของรัฐบาลโปรตุเกสในสมัยนั้นรัฐบาลสนับสนุนการค้าทาส ที่นำมาจากเมืองขึ้นต่าง ๆพระสงฆ์องค์นั้นต่อสู้กับการค้าทาส พระสงฆ์นักโทษคนนั้น ถูกจับให้ยืนอยู่หน้ากำแพง เผชิญหน้ากับเพชรฆาต 7 คน ซึ่งมีปืนยาว พร้อมอยู่ในมือทั้ง 7 คนเป็นเพื่อนร่วมชาติของเขานั่นเอง ก่อนที่นายทหารจะผูกตานักโทษ ได้ถามความปรารถนาครั้งสุดท้ายของเขา  ว่าต้องการอะไร? (ตามธรรมเนียมปฏิบัติของที่นั่น) ทุกคนรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้ยินว่า คนที่ถูกตัดสินประหารชีวิต ใกล้จะตาย ขออนุญาต เป่าขลุ่ยเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อนักโทษคนนั้น เริ่มเป่าขลุ่ย เสียงเพลงซึ่งไพเราะอย่างพิเศษ ดังก้องกังวานไปทั่วคุกนายทหารเริ่มวิตกกังวล   ยิ่งนักโทษบรรเลงเพลงของเขาไป นายทหารและบรรดาเพชรฆาตก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดในภาร กิจที่กำลังจะต้องกระทำนายทหารจึงสั่งให้นักโทษหยุด เป่าขลุ่ย ให้ผูกตานักโทษ และออกคำสั่งให้ประหาร พระสงฆ์องค์นั้นสิ้นใจในทันทีเสียงเพลงนั้นยังคงก้องกังวาน สร้างความสนเท่ห์ ให้แก่เพชรฆาตเหล่านั้น พวกเขาประหลาดใจ พยายามถามตนเอง พยายามหาคำตอบว่า ในขณะที่คน ๆ    หนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความตาย บทเพลงไพเราะนั้น มาจากไหน?

พี่น้อง วันนี้เป็นวันที่เราจัดฉลองวัดนักบุญ หลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต   (วัดบางแค)และวันนี้เป็นวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกาวันปัสกาคืออะไร มีความหมายสำหรับพวกเราคริสตชนอย่างไร? วันปัสกา คือ วันฉลองพระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนม์ชีพพระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนม์ชีพนี้เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้พระสงฆ์ชาวโปรตุเกสท่านนั้น    กล้าเผชิญกับความตายโดยไม่หวาดกลัวแม้จะอยู่ต่อหน้าความตาย ท่านก็ยังสามารถเป่าขลุ่ย เป็นเพลงที่ไพเราะกินใจทำให้นายทหารคนนั้นรวมทั้งบรรดาเพชรฆาตและผู้คนที่มุงดู ต่างต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า บรรดาคริสตชนเขาหวังอะไรภายหลังความตาย

1)พี่น้องครับ! ความหมายของ “ปัสกา” ก็เป็นเช่นนี้“ปัสกา” คือ การสัมผัส “พลังของพระเจ้า” พลังที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา จากปัญหา ความล้มเหลว ความพลาดพลั้ง ความ เศร้าโศก ความกลัว และความตายนำเรามาสู่ชีวิตใหม่   การเริ่มต้นใหม่ พลังใหม่

2)ให้เราดูตัวอย่างจากศิษย์ของพระคริสตเจ้าก่อนวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์    พระเยซูเจ้าคือผู้ให้ความหมายแก่ชีวิตของพวกเขาพวก เขาต่างเชื่อมั่นในพระองค์แต่เมื่อพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว ความฝันของพวกเขาก็พังทลายลงสิ้นเมื่อดวงอาทิตย์อัสดง ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์   พวกเขาก็ฝังอนาคต โครงการชีวิตทั้งหมดไว้ในหลุมฝังพระศพของพระองค์แต่พอถึงเช้าตรู่ของวันปัสกา เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าพระเยซูเจ้าได้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพชีวิตของบรรดาศิษย์    ก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่สว่างเจิดจ้ากว่าที่เคยเป็นมาในอดีตณ เวลานั้นเอง “พลังแห่งวันปัสกา” เริ่มทำงานในชีวิตของพวกเขาในช่วงเวลาสั้น ๆ แค่นั้น ชีวิตของพวกเขาก็ “เปลี่ยนไป” จากคน “สิ้นหวัง” ในชีวิตกลับกลายมาเป็น “กลุ่มชน” ที่ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยน แปลงไปจากเดิมจนหมดสิ้นพวกเขารักกันและกัน แบ่งปันสิ่งที่ตนมีแก่กันและกันดำเนินชีวิตร่วมกันฉันพี่น้องได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนทุกคน   จำนวนผู้มีความเชื่อเพิ่มขึ้นทุกวันนี่เป็นผลมาจากคำสั่งของพระเยซูเจ้า ก่อนจะสิ้นพระ ชนม์ในพระวรสารวันนี้ ที่ได้ทรงสั่งพวกเขาให้รักกันและกัน  “และทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา หากท่านรักกันและกัน”

นอกจากนี้แล้ว  การเปลี่ยนแปลงอีกประการหนึ่งในชีวิตของบรรดาคริสตชนสมัยอัครสาวก ก็คือ พวกเขาได้กลับ กลายมาเป็น “ธรรมฑูต” ผู้เต็มไปด้วยพลังที่ใดก็ตาม ที่บรรดาสาวกเริ่มเทศน์สอนพลังแห่งการกลับคืนชีพ (ชีวิตใหม่) เริ่มเกิดผลในชีวิตของประชาชนสิ่งดี ๆ งาม ๆ เริ่มเกิดมีขึ้น ความสิ้นหวังเริ่มอันตรธานหายไป   กลับมีความหวังใหม่ความมืดสิ้นไป กลับมีความสว่างใหม่ความเกลียดชัง กลับเปลี่ยนเป็นความรักความเศร้าโศก กลับกลายเป็นความชื่นชมยินดีและพลังของบรรดาอัครสาวก  ไม่ได้จบสิ้นลงแค่ในสมัยของอัครสาวกเท่านั้นแต่ยังคงส่งผลอยู่จนถึงสมัยของเรา   ในปัจจุบันนี้ด้วยทุกวันอาทิตย์ เราระลึกถึงการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า

พระเยซู ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพแล้ว!พระเยซูเจ้าทรง-ชนะบาป ชนะความตาย มีชีวิตใหม่ เป็นชีวิตอมตะ เราซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ก็มีหวังในชัยชนะเช่นเดียว กันการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากความเชื่อของเราทั้งหมดวางอยู่บนรากฐานนี้

หากพระเยซูไม่กลับคืนพระชนม์ชีพ (นักบุญเปาโลกล่าวว่า) พวกเราคริสตชนจะกลับเป็นพวก “โง่ที่สุด”ชีวิตของพวกเราคงพังคลืนลงมาทั้งหมดแต่หากว่า พระเยซูกลับคืนพระชนม์ชีพจริง เราก็มั่นใจได้ ในชีวิตใหม่ที่เรากำลังก้าวเดินอยู่นี้การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซู นำความชื่นชมยินดีมาให้เราในโลกนี้ จะมีใครผู้ใดโชคดีเท่าเราแต่พี่น้องที่รัก การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้านี้แม้จะเป็นรากฐานความเชื่อของเรา แต่ก็ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ความเชื่อตรงข้าม เป็นเนื้อหาสาระของความเชื่อเองเลยทีเดียว   เราคริสตชน เชื่อในการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าเรายอมรับว่า พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนม์ชีพจริงการยอมรับว่า พระเยซูกลับคืนพระชนม์ชีพนี้ เป็นการยอมรับตามคำยืนยันของบรรดาอัครสาวกที่น่าสังเกตคือ ชีวิตของบรรดาสาวก “เปลี่ยนไป” ชีวิตของอัครสาวก ก่อน และหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแตกต่างกันมาก พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียวแต่เดิม  พวกเขาเป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนสามัญชนทั่วไปเวลานี้ กลับมีความกระตือรือร้นออกไปประกาศพระเยซูเจ้าไม่กลัวชาวยิวมีเมตตาจิตต่อทุกคน  มีความรักต่อกันและต่อผู้อื่นวางทรัพย์สินเป็นของกลาง แบ่งปันกันและกันมีเครื่องหมายรองรับการกระทำ และคำเทศน์ของบรรดาอัครสาวกมากมาย

และที่สุด พวกเขาได้ยอมรับทรมานยอมรับความตาย เพื่อยืนยันเรื่องการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าสาวกได้เห็น   ได้เชื่อ และชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเราไม่ได้เห็นด้วยตาของเราเอง แต่หากเรายอมเชื่อ   ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไปเช่นเดียวกันเราจำ เป็นจะต้องสัมผัส   ความจริงข้อนี้ด้วยชีวิตของเราไม่เพียงพอแค่จะเชื่อตามคำยืนยันของผู้อื่นเราจะต้องสัมผัสด้วยตัวของเราเองแต่กระบวนการ ในการสัมผัสจะเป็นแบบ “ย้อนศร”นั่นคือ สัมผัสจากการปฏิบัติตามคำสอนพระเยซู ย้อนไปสู่ความเข้าใจเรื่องการกลับคืนชีพของพระองค์

3)นักบุญเปาโลกล่าวว่า “ถ้าท่านกลับคืนชีพกับพระองค์”ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนสิ่งที่อยู่เบื้องบนคือ “พระเจ้า”เพราะฉะนั้น แสวงหาพระเจ้าและเมื่อพบพระองค์ แล้ว เมื่อได้สัมผัสความรักของพระเจ้าแล้ว เราจะต้อง “จัดที่ให้พระ”   ให้พระเจ้ามาเป็นสิ่งเบื้องบนสูงสุด เป็นที่ 1   ในชีวิตของเราแล้วเราจะต้องเบนเข็มทิศชีวิต มุ่งไปยังพระเจ้า มุ่งไปยังพระประสงค์ของพระเจ้ามุ่งไปยังพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมากกว่าและนั่นก็คือ ในเรื่อง ความรักต่อพี่น้องเพื่อนมนุษย์แก่นแท้ของพระวรสารเรามาร่วมมิสซาวันอาทิตย์ เรามาร่วมฉลองวัดนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต วันนี้แล้ว เมื่อกลับบ้าน “จะต้องมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป” ในชีวิตของเรา ท่าทีของเราเองต่อบุคคลรอบข้าง จะต้องเปลี่ยนแปลงไป

เช่น กับแม่ค้าปากปลาร้าข้างบ้าน ที่คอยทิ่มแทงเราด้วยคำพูด ถากถาง ปกติเราจะทนไม่ได้ แต่ครั้งนี้ เราจะทำบางอย่าง ที่เราอาจ ไม่เคยทำมาก่อนซึ่งอาจจะหมายถึง ความพยายามตอบกลับด้วยการยิ้ม ใช้คำพูดดี ๆ ทักทาย ฯลฯคงไม่ง่าย แต่เป็นไปได้ ถ้าเรา เชื่อว่า พระเยซูกลับคืนพระชนม์ชีพแล้ว

พี่น้อง! พ่อกำลังอธิบายการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูชีวิตใหม่ในพระองค์ ไม่ใช่ในระดับความคิด ความเข้า ใจ ความตั้งใจ แต่เป็นในระดับชีวิตจริงที่ต้องลงมือปฏิบัติจึงจะเข้าใจ

4)อยากเชิญชวนพี่น้อง ให้ลองมาหา “ประสบการณ์พระเยซูเจ้า ผู้กลับคืนพระชนม์ชีพ” ด้วยกันให้เราลองรื้อฟื้นชีวิตพระเยซูเจ้ากันดูสักหน่อย...โดยนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตเรา ประยุกต์ลงในชีวิตเราถ่ายทอดลงสู่ภาคปฏิบัติ

พระเยซูเจ้าเทศน์สอน พระวาจาของพระเจ้า เรารับพระวาจานั้นมาปฏิบัติในชีวิตพระเยซูเจ้าไปไหน ก็ทรงประกอบแต่ความดี เราจะพยายามกระทำดีในทุกแห่งที่เราอยู่พระเยซูเจ้ารักษาคนป่วยไข้ เราเองจะให้ความเอาใจใส่ต่อคุณยายที่ป่วยอยู่ที่บ้าน   ซึ่งแต่เดิม  เราไม่มีเวลาให้ทั้ง ๆ ที่วันหนึ่ง ก็มีเวลา 24 ช.ม.ก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะว่า    เราให้ความสำคัญต่อสิ่งอื่นมากกว่าเขาได้ทรมานพระเยซูบนไม้กางเขน เราอาจประสบความยากลำบากในชีวิต และนี่คือกางเขนของเรา ในการรับใช้พี่น้องเพื่อนมนุษย์ ในความเสียสละ ในการถูกด่าว่า ฯลฯ

ที่สุด พระเยซูน้อมรับความตาย เราพร้อมจะตายกับพระเยซูหรือไม่?   เรายอมรับความยากลำบาก (ดังกล่าว)   ด้วยความสมัครใจ เพราะ “ต้องการจะรัก” หรือไม่?รักพระเยซูในพี่น้องเพื่อนมนุษย์คนนั้นตรงนี้แหละ คือ แบบฝึกหัด ที่เราจะนำกลับไปบ้านและไปลองทำดู ไปฝึกฝนเพราะเราเชื่อในเรื่องการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าและผลจากการปฏิบัติก็คือ “ชีวิตใหม่”   พระเยซูเจ้าจะกลับคืนชีพในตัวเรา เราจะมีชีวิตคล้ายกับพระองค์มากขึ้นความรู้สึกนึกคิดของเราจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปความรู้สึกนึกคิดแบบพระเยซูจะเข้ามาแทนที่คนอื่นจะสามารถพบพระเยซูเจ้าในตัวเรามากขึ้นและเราเองจะประสบกับปีติสุข อันเป็น “สันติสุข” ในจิตใจของเรา อย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อนความสุขนี้แหละ คือพระเยซูผู้กลับคืนพระชนม์ชีพในชีวิตของเรานี่คือ  วิธีเข้าถึงรหัสธรรมปัสกาของพระ เยซูในระดับชีวิตภาคปฏิบัติและพี่น้องจะมาบอกพ่อว่า  จริงครับ!ผม ได้สัมผัสแล้ว ผมมีความเชื่อมากขึ้น ดิฉันมีความ   สุขมากขึ้นบุคคลรอบข้างก็พลอยมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วยหลาย ๆ คนจะเข้าใจและยอมรับความจริงเรื่องพระเยซูกลับคืนพระชนม์ชีพมากขึ้น เพราะเขาได้สัมผัสจากชีวิตและการกระทำของเรา

5)พี่น้องที่รัก วันนี้ เราฉลองวัดนักบุญ หลุยส์ มารี กรี ญอง เดอ มงฟอร์ต หรือวัดบางแคพ่อจะไม่เล่าประวัติทั่วไปของท่านนักบุญ แต่จะเล่าเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของท่านเพื่อแสดงให้พวกเราเข้าใจว่า ชีวิตของพระเยซูเจ้ามีอิทธิพลต่อชีวิตของท่านนักบุญเพียง  ใด โดยเฉพาะในเรื่องความรักเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ที่เป็นคนยากจนครั้งหนึ่ง ในขณะที่ท่านยังเป็นเด็ก และกำลังเล่นซ่อนหาอยู่กับบลังก์ เพื่อนของท่านหลุยส์เป็นฝ่ายซ่อนตัว บลังก์เป็นฝ่ายตามหา  บลังก์หาอยู่เป็นเวลานาน   หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอเพราะหลุยส์มุ่งตรงไปยังกระท่อมแห่งหนึ่ง ที่ค่อนข้าง ไกลจากจุดที่เล่นซ่อนหากัน เพื่อไปเยี่ยมขอทาน สติไม่ค่อยดี คนหนึ่ง ซึ่งมักจะถูกพวกเด็ก เกเรล้อเลียนเป็นประจำ เมื่อเขาเข้าไปในเมืองเพื่อไปขอทาน

หลุยส์ คุกเข่าลงต่อหน้าขอทานคนนั้น เอามือลูบเท้าเขา และจูบด้วยความเคารพ เหมือนผู้คนในสมัยนั้น ที่มักจะทำความเคารพต่อพระรูปพระเยซูบนกางเขนบลังก์พูดไม่ออก เฝ้ามองดูเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกโพ้นไปกว่ามิติของโลกนี้ แม้เขาเองจะรู้สึกรังเกียจคนขอทานนั้นอย่างมากก็ตามวันรุ่งขึ้น หลุยส์บอกเรี่ยไรเงินจากเพื่อน ๆ  เพื่อเพื่อนผู้ยากจนของเขาคนนั้นเขานำเงินทั้งหมดที่รวบรวม ได้ ไปที่ร้านขายเสื้อผ้า กองเงินทั้งหมดที่เรี่ยไรได้บนโต๊ะ และบอกเจ้าของร้านว่าเพื่อเห็นแก่พี่น้องเพื่อนมนุษย์ของผม และของคุณด้วย ทั้งหมดนี้ เป็นเงินที่ผมขอทานมาได้ผมหาได้เพียงแค่นี้ สำหรับซื้อเสื้อตัวนั้นส่วนที่ยังขาดอยู่    ขอความกรุณาคุณช่วยเติมให้ครบด้วยและด้วยวิธีนี้เอง ที่ทำให้เพื่อนผู้ยากจนของเขาคนนั้นได้สวมเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับนักบุญหลุยส์ มารีฯ คนยากจนมิได้เป็น  เพียง “ผู้ขาดแคลน” ที่จะต้องทำให้พ้นตัวไป ด้วยการทำทานเพียงด้วยเศษเงินเล็ก ๆ น้อย ๆแต่คนจน เป็นประดุจศีลศักดิ์สิทธิ์ ที่มีพระเยซูเจ้าประทับอยู่อย่างพิเศษในตัวของเขา

6)ก่อนจบบทเทศน์วันนี้ พ่ออยากจะเล่าประสบการณ์เรื่องหนึ่งให้พี่น้องฟัง เพื่อชี้ให้เห็นว่าเราควรจะยึดมั่น ปฏิบัติตามความเชื่อของเราอย่างไรเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีเพื่อนที่รู้จักกันท่านหนึ่ง นำหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ ชื่อ “The Cry of Jesus Crucified and Forsaken” แปลเป็นภาษาไทยว่า “เสียงร้องของพระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขนและถูกทอด ทิ้ง” ความยาว 138 หน้า!ดิฉันอ่านจบภายใน 1 สัปดาห์ เมื่ออ่านจบแล้ว ดิฉันก็ถามตัวเองว่า “พระเยซูเจ้าคงทรงต้องการจะสื่ออะไรกับดิฉันผ่านหนังสือเล่มนี้เป็นแน่”

เมื่อราวปลายปี 2009 ที่ผ่านมา ดิฉันรับพนักงานขับรถคนใหม่มาขับรถให้ พนักงานผู้นี้มีอายุเกือบ 50 ปี  ขับรถแท็กซี่มาตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา เขารู้จักถนนหน ทางดี แต่เขามีปัญหาประการหนึ่งคือ เป็นคนมีความจำสั้นมาก   หรือเกือบจะพูดได้ว่า ไม่มีความจำเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เขาจำไม่ได้ทั้งนั้น ครั้งหนึ่งดิฉันเคยกลับบ้านไม่ได้ เพราะเขาลืมกุญแจไว้ในรถ!
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันไปประชุม จบการประชุมตอนเที่ยงพอดี จึงกลับบ้านเพื่อพักผ่อน ก่อนจะไปประชุมอีกที่หนึ่งตอนบ่าย
เมื่อถึงบ้าน ดิฉันบอกให้เขาไปรับประทานอาหารก่อน และบอกให้กลับมาตอนบ่ายโมง

ระหว่างนั้น ดิฉันหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง โดยเปิดใจกว้าง เตรียม “รับฟัง”  สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการตรัสกับดิฉันหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ดิฉันโทรศัพท์เรียกคนขับรถ โทรไปประมาณ 7-8 ครั้ง เขาก็ไม่รับสาย ดิฉันเริ่มหงุดหงิดในที่สุด ดิฉันก็ต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า เพราะไม่อยากไปประชุมสาย ปรากฎว่า เจอคนขับรถอยู่หน้าหมู่บ้าน เขาลืมเอามือถือติดตัวไปด้วย! ดิฉันโมโหมาก ตัดสินใจว่า วันจันทร์จะให้เขาออกดิฉันรู้สึกว่า การมีผู้ช่วยใกล้ตัวที่ปั้ม ๆ เป๋อ ๆ เช่นนี้ คนที่จะประสาท เสียก่อนคือตัวดิฉันเอง

 คืนนั้น บทรำพึงเกี่ยวกับ “พระเยซูเจ้าผู้ถูกทอดทิ้ง”  กลับมาก้องดังในสมองของดิฉัน “บทรำพึงนั้นทำให้เรามองคนที่ประสบความทุกข์ยาก” เป็นพระเยซูเจ้าดิฉันทราบว่า คนขับรถคนนี้ยังมีลูกอีก 2 คน ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ และรถแท็กซี่เดิมที่เขาขับก็โทรมมากแล้ว หากเขาต้องถูกให้ออกจากงาน เขาคงเดือดร้อนแน่ แต่ ... มีคนขับรถแบบนี้คงจะทำให้ดิฉันปวดหัวทุกวัน

วันรุ่งขึ้น ดิฉันตัดสินใจว่า การฉลองปัสกาปีนี้   แทนที่ดิฉันจะให้คนขับรถคนนี้ออกจากงาน เพราะเขาไม่ยอมจำอะไรสักอย่างเลย ดิฉันจะพยายามช่วยเขา และยอม รับว่าเขามีปัญหาเรื่องความจำ เพื่อกันเขาลืมกุญแจไว้ในรถอีก ดิฉันจะเอาสายใส่ชื่อพนักงาน  ให้เขาคล้องกับกุญแจรถและห้อยคอไว้ และเอาโทรศัพท์มือถือห้อยคออีกสายหนึ่ง เพื่อ เขาจะมีโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอด เวลา

นอกจากนี้ ดิฉันตั้งใจว่า ในเดือนหน้า ตอนประเมินผลการทำงานของเขา ดิฉันจะบอกกับเขาว่า ดิฉันจะอุป การะลูกเขาทั้งสองคนในด้านการศึกษาอีกด้วย

สิ่งที่ดิฉันทำนี้ นับเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก หากเปรียบกับความเสียสละของพระเยซูเจ้า ผู้ถูกทอดทิ้ง กระนั้นก็ตาม  ดิฉันก็ขอทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เป็นการตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์...............อาแมน