หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

 

คุณพ่อวิทยา แก้วแหวน เทศน์ให้ข้อคิดกับเด็กๆค่ายคำสอนภาคฤดูร้อน

56k

dsl

 

คุณพ่อเอกรัตน์ หอมประทุม จิตตาธิการค่ายกล่าวรายงาน

56k

dsl

 

คุณพ่อวิทยา แก้วแหวน ให้โอวาสกับเด็กๆค่ายคำสอนภาคฤดูร้อน

56k

dsl

โดย...แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2009 ศูนย์คริสตศาสนธรรมอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ     นำโดยคุณพ่อเอกรัตน์ หอมประทุม จิตตาธิการค่าย จัดค่ายคำสอนภาคฤดูร้อน ณ บ้านสวนยอแซฟ ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่ 18 แล้ว โดยในช่วงเวลา 13.00น. เปิดให้มีการลงทะเบียน มีบรรดาท่านผู้ปกครองที่ให้ความสนใจนำบุตรหลานมาเข้าร่วมค่ายนี้เป็นจำนวนกว่า 30 คน โดยในระหว่างที่มีการเปิดให้ลงทะเบียนนั้นบรรดาผู้ปกครองได้พาบุตรหลานมาลงทะเบียนกันอย่างไม่ขาดสาย เด็กๆที่มาร่วมค่ายนี้มีความกระตือรือร้นอยากที่จะมาเรียนกันเป็นอย่างมาก และหลายๆครอบครัวคาดหวังว่าเด็กๆที่จบจากค่ายนี้ออกไปจะเป็นคนที่มีความเชื่อความศรัทธามั่นคง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

จากนั้นเวลา15.00น. คุณพ่อวิทยา แก้วแหวน ผู้อำนวยการฝ่ายงานอภิบาลและธรรมทูต พร้อมด้วยคุณพ่อเอกรัตน์ หอมประทุม เป็นประธานในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณเปิดค่ายคำสอนภาคฤดูร้อน ปีที่18  และเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้าร่วมในพิธีมิสซาบูชาขอบพระด้วย

คุณพ่อวิทยาเทศน์ให้ข้อคิดกับบรรดาเด็กๆที่มาเข้าร่วมค่ายนี้ว่า   พี่น้องครับเรามาที่นี่กันทำไม คำตอบที่เราตอบได้ตรงกันก็คือเราต้องการให้เด็กๆของเรานั้นเติบโตขึ้น เราไม่ต้องการเห็นเขาเติบโตเพียงแต่ร่ายกาย แต่อยากให้จิตใจก็เติบโต เครื่องหมายที่เห็นเด็กของเราเติบโตก็คือ เขาคิดได้ เขาได้คิดและตัดสินใจได้ในสิ่งที่ถูกต้องในชีวิตของเขาตามภาษาเด็กๆ วันนี้หลังจากที่เราได้ฟังบทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ พระเจ้าตรัสว่า เราจะบรรจุพระธรรมคำสอนของพระเจ้าไว้ในหัวใจของเจ้า   จะไม่ต้องสอนแต่เขาจะรู้จักพระเจ้าได้จากหัวใจของเขาเอง การเติบโตแบบเป็นผู้ใหญ่คิดได้ตัดสินใจได้อย่างผู้ใหญ่ ในหัวใจของเด็กๆ คือสิ่งนี้ เมื่อเด็กๆของเรามาร่วมกันรับรู้คำสอนของพระเป็นเจ้า ผ่านไปวันละวัน ใจของเขาก็จะเติบใหญ่ ใจของเขาก็จะมีพระมาบรรจุ และจะทำหน้าที่เหมือนสวิทช์เวลาแตะก็จะมีอาการอบรมบ่มนิสัยอยู่ภายใน จะโตอยู่ภาย ในและจะเข้าใจอยู่ภายในจิตใจของเขา  เราเคยสังเกตไหมว่าเวลาเราสอนลูกเราหลายครั้งพูดเท่าไรเขาก็ไม่เข้าใจ และไม่ฟัง ที่เขาไม่ฟังก็เพราะว่าเสียงเข้าหูซ้ายทำลุหูขวา ไม่ไม่เข้าไปถึงใจ มันไม่โดยใจ เขาจึงไม่เข้าใจ

การมาเรียนรู้พระธรรมคำสอนกันที่นี่ ก็เพื่อให้พระเจ้าเข้ามาอยู่ในหัวใจของเขา ฟังในชิบ(คอมพิวเตอร์) เมื่อกดEnter ก็จะสอนเขาอยู่ภายในหัวใจ คำสอนต่างๆที่เรา   เคยพูดเข้าไปเคยผ่านกูซ้าย ออกหูขวา ต่อไปนี้เมื่อพูดหูซ้ายมันจะวกเข้ามาในจิตใจในชิบตัวนี้คือองค์พระเจ้าที่สอนเขาอยู่ภายในหัวใจ เขาจะได้คิดได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นวันนี้เราเข้ามาร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณเพื่อขอพรของพระเจ้า

ภาวนาให้กับพวกเขาทุกคน ให้เขาเปิดใจรับคำสอนของพระเจ้ามาบรรจุไว้ในหัวใจของเขา พอถึงวันหนึ่งเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น จะได้มีสิ่งนี้เปิดแสงสว่างขึ้นภายในหัวใจของเขา เขาจะได้คิดได้รู้ได้และคิดในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในฝ่ายของพระเจ้าพระองค์ทรงอวยพรเราอยู่ขณะนี้ เวลาที่เด็กๆอยู่ค่ายนี้ แต่ถึงแม้จะอวยพรมากเท่าไรถ้าเด็กๆไม่ยอมเปิดใจรับมันก็เหมือนกับการ เทน้ำรดหัวเป็ด

เพราะฉะนั้นวันนี้ในพระวรสารให้เคล็ดลับ เพื่อให้สิ่งที่พระเจ้าอวยพรนั้นสามารถเข้าไปงอกงาม ฝังตัวอยู่ในหัวใจของเด็กๆ ได้ พระองค์ตรัสว่า เมล็ดข้าวถ้าไม่ตกในดินและเน่าเปื่อยไปมันจะเหลือแค่เมล็ดเดียวของมัน จนกระทั่งมันฝ่อไปหมดไปสักวันหนึ่ง ถ้าเกิดมันยอมให้ตกไปในดินมันจะแตกเป็นต้นใหม่และมีชีวิต ก็หมายความว่าชีวิตของเด็กๆทุกคนที่นี่ ถ้าหากว่าพวกเธอไม่ยอมลำบาก ไม่ยอมเสียสละตนเองในนี้ ต่อให้สอนเท่าไรก็จะไม่เข้าใจ พระอวยพรเท่าไรก็ไม่ถึงชีวิตของพวกเธอ

เพราะฉะนั้นเด็กๆทุกคนตั้งไว้ว่าเรามาที่นี่เพื่อลำบากเรามาที่นี่เพื่อเสียสละชีวิตของเราเพื่อจะได้เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระเจ้าถ้าชีวิตของเราไม่ลำบากจิตใจจะ ไม่เติบโต เมื่อพวกเธอมาอยู่ที่นี่ร่วมกันซึ่งไม่เหมือนกับพี่น้องของเธอมันเป็นความลำบากอย่างหนึ่ง ที่จะต้องเข้าใจเพื่อนๆ ไปพร้อมกับเพื่อน    ถ้าเด็กๆทุกคนยินดีลำบากพร้อมกัน พวกเธอก็จะเติบโตขึ้นพร้อมกัน ถ้าเราไม่ละบากพร้อมกัน เราจะไม่โตพร้อมกัน มาย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในจิตใจ     เพราะเราไม่ยอมลำบากนั่นเอง องค์พระเยซูเจ้าสอนให้เราสู้กับความยากลำบาก   ไม่ใช่สอนให้เราสร้างความลำบากให้กับตัวเองซึ่งสิ่งเหล่านี้มีตามปกติทุกวันอยู่แล้ว    บางคนอาจกินอาหารไม่ถูกปาก บางคนอาจจะตามไม่ทัน บางคนพูดแล้วคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ      นี่คือความลำบากที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องสร้างขึ้นมาอีกแต่ขอให้เราอดทน แล้วจิตใจของเราก็จะเติบโตพรของพระเจ้าก็จะเข้าถึงหัวใจของเรา

วันนี้พ่อขอให้เด็กๆทุกคนในมิสซานี้ ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าอย่างน้อยคนละหนึ่งอย่าง เมื่อกลับบ้านไปแล้วขอให้พระอวยพรหนึ่งอย่างนี้ทุกคน พร้อมๆกับการขอพรในวันนี้ขอให้เธอแสดงความตั้งใจจะยอมลำบาก เพื่อให้สิ่งที่ขอนั้นเกิดขึ้นกับชีวิตของเธอ วันนี้เวลาที่พ่อยกแผ่นปังพ่อก็จะถวายชีวิตของเด็กๆทุกคน ให้พระรับไปอวยพรทุกคน เงื่อนไขมีเพียงข้อเดียวคือเมื่อยกให้พระแล้วถ้าเราไม่ตั้งจิตมั่นสิ่งที่พระอวยพรจะไม่ถึงตัวเธอขอให้พวกเราทุกคนสำนึกว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อเสียสละ คุณพ่อคุณแม่ที่ส่งพวกเธอมาที่นี่ท่านต้องเสียสละการที่ท่านต้องอยู่ห่างจากพวกเธอท่านก็คิดถึงพวกเธอนะ ไม่ใช่เด็กๆเท่านั้นที่คิดถึงพ่อแม่ เพราะฉะนั้นนี่คือการเสียสละของพ่อแม่ คุณครูคำสอนและคุณพ่อที่อบรมบ่มนิสัยของพวกเธอในโรงเรียนพิเศษแห่งนี้ ทุกคนก็ต้องเสียสละต้องต้องเตรียมสอน เตรียมอุปกรณ์ เตรียมกิจกรรม ลำบากเพื่อเราทุกคน สรุปแล้วเราทุกคนที่อยู่ที่นี่เรายอมเสียสละด้วยกันทุกคนทั้งนั้น เพื่อหวังให้เด็กๆทุกคนมีพระธรรมคำสอนของพระเจ้า เติบโตเบ่งบานในหัวใจก็ขอให้ความตั้งใจดีที่จะเสียสละนี่บังเกิดผล เงื่อนไขมีเพียงเรื่องเดียวคือยอมให้ลำบากได้ ยอมให้ชีวิตของเราเป็นเหมือนเมล็ดข้าวที่ยอมตกไปเน่าเปื่อย ถ้ายอมอย่างนี้ไดแล้วความตั้งใจทั้งหลายแหล่ และความหวังที่จะให้บังเกิดผลก็จะเห็นผลที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเรา

ขอพระเยซูคริสตเจ้าทีได้สอนวิธปฏิบัติอันงดงามนี้กับเราได้อยู่กับพวกเราทุกคน คุ้มครองเราทุกคน เป็นกำลังให้กับเราทุกคน ให้เราสามารถเสียสละชีวิตของเราได้ จนเราทุกคนได้ดีมีใจใจเติบโตเบิกบานขึ้นในการอบรมครั้งนี้

หลังจากพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณเสร็จสิ้นคุณพ่อเอกรัตน์ หอมประทุม   จิตตาธิการได้กล่าวให้ความมั่นใจกับผู้ปกครองพร้อมทั้งแจ้งกฎเกณฑ์ต่างๆของค่าย และแนะนำนักศึกษาจากวิทยาลัยแสงธรรม สามเณรจากบ้านเณรนักบุญยอแซฟ และคุณครูจากแผนกคริสตศาสนธรรมกรุงเทพฯ และอาสาสมัครที่ดูแลค่ายทั้งหมด13คน พร้อมแนะนำรายชื่อพระสงฆ์ที่จะมาอยู่ให้ความรู้อบรมเด็กๆ คือคุณพ่อที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชคือคุณพ่อวีระ อาภรณ์รัตน์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษา และตัวคุณพ่อเอง คุณพ่อเอกรัตน์ หอมประทุมเป็นจิตตาธิการค่าย    และอีกท่านเป็นคุณพ่อผู้จัดการบ้านสวนคือ   คุณพ่อสราวุธ อมรดิษฐ์จากนั้นแล้วกล่าวรายงานให้กับคุณพ่อวิทยาแก้วแหวนถึงการจัดค่ายคำสอนครั้งนี้

 พร้อมกันนี้คุณพ่อได้เล่าถึงความประทับใจว่าประทับใจเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งติดตามพี่มาอยู่ค่ายด้วยเมื่อปีที่แล้ว   แต่อยู่แค่อนุบาล 2 ซึ่งยังไม่สามารถรับศีลได้ แต่คุณแม่ได้บอกกับคุณพ่อว่าลูกสามารถซักผ้า และดูแลตัวเองได้ แล้วจึงเข้ามาอยู่ที่ค่ายนี้ ต่อมาได้รับอุบัติเหตุแขนขวาหักจึงไม่สามารถซักผ้าได้แล้วก็ต้องกลับไปอยู่ที่บ้านซึ่งขณะนั้นยังไม่จบคอร์ส  น้องได้ร้องไห้เพราะอยากอยู่ต่อ เวลาผ่านไป1ปีน้องคนนี้หายเป็นปรกติและได้กลับมาเรียนกับเราอีกพร้อมกับพี่สาว 2 คน  คุณพ่อกล่าวให้เราปรบมือต้อนรับน้องและพี่ๆทั้ง 2 ด้วย จากนั้นแล้วคุณพ่อได้เชิญคุณพ่อวิทยา ได้ให้โอวาทกับเด็กๆ   หลังจากนั้นคุณพ่อเอกรัตน์ได้เชิญผู้ปกครอง และนักเรียนคำสอนทุกคนถ่ายภาพหมู่พร้อมกัน และรับประทานอาหารว่างพร้อมกันที่โรงอาหาร ซึ่งเป็นขนมปังเย็นทำให้เด็กๆ ทุกคนยิ้มได้ถึงแม้อากาศจะร้อน ผู้ปกครองได้ทยอยเดินทางกลับบ้านอย่างอุ่นใจเมื่อได้ส่งลูกๆได้มาค่ายคำสอนภาคฤดูร้อนที่บ้านสวนครั้งนี้

สำหรับวัตถุประสงค์ของ “ค่ายคำสอน”

1. อบรมคริสตศาสนธรรม   สำหรับเด็กปและเยาวชนคาทอลิกที่บ้านอยู่ไกลวัด และไม่ได้เรียนในโรงเรียนคาทอลิกเพื่อเตรียมตัวรับศีลล้างบาป ศีลมหาสนิท ศีลกำลัง และรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลล้างบาป

2. ส่งเสริม และสนับสนุนให้อ่าน เรียนรู้ และรักพระคัมภีร์(เปาโล)

3. ฝึกอบรมเรื่องการภาวนาและการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักรคาทอลิก

โดยมีระยะเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 29มีนาคมถึงวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2009    โดยเด็กนักเรียนที่เรียนจบจากค่ายแล้วจะรับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน เวลา 09.00น. ณ วัดพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ สามพรานและมิสซารับศีลกำลังในวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน เวลา 09.30น. ณ วัดนักบุญเปโตร สามพราน

หากท่านต้องการสนับสนุนค่ายคำสอน โปรดส่งธนาณัติ สั่งจ่ายในนาม “บาทหลวงวีระ อาภรณ์รัตน์” ตู้ปณ.กลาง57 ซ.โอเรียน เต็ล บางรัก กรุงเทพฯ 10500 หรือ โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “มิสซังโรมันคาทอลิก แผนกคำสอน”    ธนาคารทหารไทย สาขาเซนต์หลุยส์ เลขที่บัญชี 186-2-00002-1 หรือท่านปรารถนาจะบริจาคอาหารหรือขนมสำหรับเด็กๆ เชิญติดต่อได้ที่ บ้านสวนยอแซฟ โทร.0-2429-0105-6 หรือ0-8601-26671 โทรสาร 0-2429-0104