หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

โดย...ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

ประมวลภาพพิธีมิสซาปลงศพมารดาคุณพ่อศุภศิลป์

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม 2008 เวลา 10.00น. คุณพ่อศุภศิลป์ สุขสุศิลป์ เป็นประธานในพิธีมิสซาปลงศพ มารีอา สงัด สุขสุศิลป์ มารดา ร่วมกับคุณพ่อจำเนียร กิจเจริญ อุปสังฆราช คุณพ่อสำรวย กิจสำเร็จ คุณพ่อสุนัย สุขชัย และคุณพ่อบุญเสริม เนื่องพลี พร้อมกับพระสงฆ์กว่า 50 องค์  ซิสเตอร์คณะพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ คณะมาเซอร์ บรรดาญาติมิตร และสัตบุรุษมาร่วมไว้อาลัยจำนวนมาก ณ วัดพระคริสตประจักษ์ เกาะใหญ่ หลังพิธีเคลื่อนศพไปยังสุสานวัดพระคริสตประจักษ์

คุณพ่อศุภศิลป์เทศน์ให้ข้อคิด

พ่อผ่านการถวายมิสซาปลงศพมานับร้อยครั้ง   นับตั้งแต่บวชมา 22 ปี แต่คงไม่มีครั้งไหนที่พิเศษเท่ากับครั้งนี้และวันนี้เพราะคนที่อยู่ข้างหน้าเราที่เรากำลังจะถวายมิสซาปลงศพให้นั้นคือแม่ของตัวเอง แน่นอนในความเป็นมนุษย์ธรรมดา ความตายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าความตายเป็นความเศร้าโศกเสียใจ    คนที่เข้ามานั้นไม่มีใครเลยสักคนเข้ามาบอกว่าขอแสดงความดีใจด้วย ไม่มี ทุกคนเข้ามาขอแสดงความเสียใจร่วมกับคุณพ่อ แต่ขอร่วมอาลัยด้วย ขอร่วมเศร้าโศกในการจากไปของคุณแม่ของพ่อด้วย นี่เป็นการ แสดงออกแบบมนุษย์เราแสดงความเสียใจเราแสดงความอาลัยกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่สำหรับผู้ตาย ในสายตาแห่งความเชื่อคริสตชนความตายเป็นการเปิดประตูไปสู่ชีวิตใหม่ เป็นการกลับไปหาพระเจ้า เป็นการก้าวเข้าไปสู่ชีวิตแห่งความสุขแท้นิรันดร ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ตามความเชื่อเรา เราจะบอกได้อย่างไรว่าแสดงความเสียใจ คงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่คำที่เราควรจะบอกนั้นก็คือ  ขอแสดงความชื่นชมยินดีกับคุณแม่สงัดที่กลับไปอยู่กับพระเป็นเจ้า กลับไปอยู่ในที่ๆเรามีความเชื่อว่าเป็นความสุขแท้ นิรันดรเป็นที่ๆ   ให้ความสุขมากกว่าที่ๆเราอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นนี่แหละคือสิ่งที่เราจะกล่าวกับผู้ล่วงลับ คือขอแสดงความชื่นชมยินดี และเราก็ร้องเพลงอัลเลลูยาด้วยในโอกาสของใครก็ตามที่จบชีวิตลง

พี่น้องความตายเป็นสิ่งปกติ ธรรมดาที่ไม่ค่อยธรรมดา เป็นความแน่นอนที่ไม่แน่นอน ที่บอกว่าเป็นความปกติธรรมดาเนื่องจากว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต วันหนึ่งก็ต้องมีวันเสื่อมสลายจบสิ้น ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตก็ตายนี่เป็นสิ่งปกติธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดานั่นก็คือสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเกิด สิ่งที่เราไม่คาดว่ามันจะเกิด  และมันก็ เกิด นี่คือความผิดปกติธรรมดา เหมือนกับผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่   เป็นญาติพี่น้องของเรา  เป็นบุคคลที่เรารัก เราอยากให้เขาอยู่กับเรานานๆและเราไม่คาดว่าเขาจะไปจากเราเร็ว และเขาก็ไปอันนี้คือสิ่งที่ไม่ธรรมดา และเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ความแ่น่นอนก็คือเราทุกคนต้องจบชีวิต ที่ไม่แน่นอนก็คือจะจบชีวิตที่ไหน จบอย่างไรและและจบเมื่อไร    ตรงนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นข้อคิดข้อเตือนใจสำหรับเรา   หลายๆคน ที่ไม่เคยคิดคำนึงถึงชีวิตแห่งความตายของตัวเอง ชีวิตจะไม่มีวันสงบสุขในจิตใจจะมีแต่การดิ้นรนขวนขวาย และก็จะพยายามที่จะเอาตัวเองให้รอดเฉพาะในโลกนี้    อาจจะมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเอารัด เอาเปรียบแข่งขันกันต่างๆมากมาย

 เพราะไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองคงจะต้องตายกระมัง   แต่ถ้าหากเราคิดว่าวันหนึ่งช้าเร็ว เราต้องจากโลกนี้ไป และคิดทุกวัน  พ่อเชื่อว่าความคิดอันนี้แหละทำให้เราหวนคิดว่าวันเวลาที่เหลืออยู่ของเราที่อาจจะมีน้อยนิด หรือมากก็สุดแล้วแต่เราจะใช้วันเวลานั้น ตรงนี้ต่างหากที่เป็นข้อคิดสำหรับเรา

 แต่พ่อเชื่อว่าการจากไปของคุณแม่คงเป็นเวลาที่เหมาะสมและเป็นสิ่งที่นำความสุขมาให้กับท่านแล้ว เพราะท่านั้นจากไปอย่างสงบช่วงระยะเวลากว่า 10 ปีถามว่าหลายคนเวลาที่เห็นคนหนึ่งตายก็จะถามว่าเป็นอะไร คุณแม่ของพ่อก็ไม่ได้ตรวจพบว่าไม่ได้  เป็นโรคประจำตัวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็นอนเหมือนกันคนที่อ่อนล้า ทั้งร่ายกายและจิตใจและไม่อยากจะทำอะไรอยากจะอยู่นิ่งๆ อาจจะเป็นไปได้ที่ตลอดชีวิตในวัยที่มีกำลัง ท่านคงทุ่มเทหลายสิ่งหลายอย่างกับลูกๆ และคงจะเหนื่อยล้าแล้ว และเมื่อวันหนึ่งที่คนรักของท่านคือบิดาของพ่อจากไปเมื่อ20ปีที่แล้ว ตั้งแต่นั้นมาตามภาษาชาวบ้านก็บอกว่าคนที่ขาดคนรักไปก็มักจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว เหงา ไม่มีใคร    และก็เหมือนกับหมดอะไรตายอยากในชีวิตก็ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ่งก็อยู่เฉยๆ เฉยไปนานเข้าร่างกายก็อ่อนเปลี้ยเพลีย แรงไป ไม่ได้ใช้กำลังมันก็เลยกระดุกกระดิกไม่ได้ก็เลยต้องนอนอยู่แบบนี้เป็นเวลา 10กว่าปี ถามว่าท่านทุกข์ไหม เราตอบแทนท่านไม่ได้  ถามว่ามีความสุขไหมก็ตอบแทนท่านไม่ได้ เพราะไม่รู้ใจท่านว่าท่านคิดอย่างไร    เวลาที่พ่อมีโอกาสมาเยี่ยมก็มาแหย่ท่านก็ยิ้ม หัวเราะแต่ท่านพูดไม่ได้ เราไม่รู้เลยว่า คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้      อยู่ในสภาพแบบนี้รู้สึกอย่างไร ยุงกัด มดกัดก็บอกใครไม่ได้ ต้องนอนอยู่แบบนั้น นี่คือสภาพที่นอนอยู่อย่างสงบตั้งแต่มีชีวิตจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย

จากสิ่งนี้เองพ่อจะบอกว่าพระเจ้ารับคุณแม่ไปก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เพียงพอ  แล้วใช้โทษบาปในโลกนี้นานพอแล้วนี่คือสิ่งหนึ่งที่อยากจะแบ่งปันปกติแล้วงานศพเราจะดูว่าผู้ที่เสียชีวิตให้แบบอย่างอะไรกับเราความจริงแม่ของพ่อไม่มีเกียรติประวัติใดๆเป็นชาวบ้านธรรมดาๆที่สุด ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายที่สุดไม่มีความทะเยอทะยาน   ไม่มีความอยากได้อยากมั่งมี อยากร่ำอยากรวย   อยู่แบบพอเพียงตามสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่นี่เป็นบทเรียนที่แม่ได้ให้กับเราชีวิตธรรมดาๆเรียบง่าย     พอเพียงและจากสิ่งนี้เองสอนเราพี่น้อง ทั้ง 7 ไม่มีใครที่ทะเยอทะยานอยากมั่งมี อยากยิ่งใหญ่   เราอยู่ด้วยกันด้วยคำสอนที่แม่ให้ เราอยู่ด้วยความรัก เราอยู่ด้วยความเข้าใจ และจุนเจือกัน นี่คือบบอย่างที่แม่ให้

ต้องขอบคุณ คุณแม่ด้วยซ้ำไป จริงๆ แล้ว  ไม่ได้ให้มรดกที่เป็นทรัพย์สมบัติ   แต่ให้มรดกทางความเชื่อความศรัทธา ทุกค่ำก่อนนอนต้องมาสวดพร้อมกัน  และอีกอย่างคือความอดทน แม่ทนมาได้ 10 ปีแม่ไม่เคยบ่น นี่คือสิ่งที่เราได้รับเป็นแบบอย่างให้กับ เรา