- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

I.คทาพระสังฆราช
คทาพระสังฆราช (Baculus Pastorails, la crosse, croiser) เป็นไม้เท้าซึ่งพระสังฆราชได้รับในพิธีอภิเษก เป็นสัญลักษณ์ของเกียรติและอำนาจของท่านในการปกครองสัตบุรุษ

ที่มา
เป็นการยากที่จะลงความเห็นให้แน่ชัดลงไปว่า คทาพระสังฆราชนี้มีที่มาจากสิ่งใด บ้างก็ว่ามาจากไม้เท้าของคนเลี้ยงแกะ บ้างว่ามาจากไม้เท้าของโมเสสในพระคัมภีร์ บ้างว่ามาจากแผ่ นไม้หรือหนังซึ่งครูในสมัยโบราณใช้เฆี่ยนนักเรียน บ้างว่ามาจากธารพระกร (ไม้เท้า) ของพระมหากษัตริย์ในสมัยคริสตังดั้งเดิม บางครั้งมีผู้พบไม้เท้าฝังไว้พร้อมกับผู้ตาย แต่นี่เป็นสัญลักษณ์การเดินทางไปสู่โลกหน้ามากกว่า

ประวัติ
ผู้ที่กล่าวขวัญถึงคทาพระสังฆราชเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นคนแรก ได้แก่ พระสันตะ ปาปา   เชเลสติน ที่ 1 ในศตวรรษที่ 5 ต่อมาก็กล่าวถึงในพระสังคายนาที่เมืองโตเลโด ที่ประเทศสเปน ในปี ค.ศ. 633

นอกจากพระสังฆราชแล้วอธิการฤาษี (Abbas) ยังมีสิทธิ์ใช้คทาด้วย นักบุญโคลมบัน ในศตวรรษที่ 7 ได้กล่าวถึงคทาเป็นคนแรก ต่อมาคทาได้เป็นทั้งไม้เท้าเวลาเดินทาง และเป็นเครื่องยศของบรร ดาอธิการฤาษีในประเทศไอร์แลนด์ ในศตวรรษต่อๆ มา พระศาสนจักรตะวันออกเริ่มใช้คทาพระสังฆราชนี้ภายหลังพระศาสนจักรลาตินมาก

ความหมาย
พระสังฆราชใช้คทาเช่นเดียวกับคนเลี้ยงแกะใช้ไม้เท้าเพื่อรวบรว มฝูงแกะ (สัตบุรุษ) เข้าเป็นพวกเดียวกัน เพื่อกระตุ้นเตือนผู้เกียจคร้าน และลงโทษผู้ทำผิดในพิธีอภิเษกพระสังฆราชขณะที่องค์อุปัชฌาย์ (ผู้ทำพิธีอภิเษก) มอบคทาแก่พระสังฆราชใหม่ ท่านกล่าวว่า

“จงรับคทาของผู้มีหน้าที่เลี้ยงแกะนี้ เพื่อจะได้มีความเคร่งครัด พร้อมด้วยความเมตตาในการตำหนิแก้ไขนิสัยชั่ว ตัดสินให้ความยุติธรรมโดยไม่เคียดแค้น เอาใจใส่วิญญาณผู้ฟัง อบรมเขาให้เกิดคุ ณธรรมความดี กำหนดโทษโดยเคร่งครัด แต่ด้วยใจสงบ”

ลักษณะ
แต่เดิมคทาพระสังฆราชมีรูปร่างและขนาดเหมือนไม้เท้าของคนแก่ในปัจจุบัน มีปลายโค้งเล็กน้อย แต่เนื่องจากเป็นเครื่องยศใน พิธีกรรม จึงมีการประดับประดาให้งดงามพอสมควร

สมัยต่อมา เปลี่ยนเป็นคทามีปุ่มกลมๆ ที่ปลายงอและมักทำด้วยไม้สน ด้านนอกหุ้มด้วยโลหะ ส่วนปลายงอนั้นหุ้มด้วยทองแดงและมี ลูกแก้วกลมติดอยู่ที่ปลาย ภายหลังมีผู้ใช้โลหะชุบเงินหรือทองแดงแทนไม้สน หรือบางครั้งทำด้วยงาช้าง และต่อให้ติดกันด้วยข้อที่ทำด้วยไม้

แบบที่สาม ตอนปลายเป็นกางเขน ปลายกางเขนงอ มักทำเป็นรูปงู เป็นแบบที่ใช้กันมากในพระศาสนจักรตะวันออก ในราวศตวรรษที่ 11 ปลายงอนั้นเปลี่ยนเป็นรูปวงขด และตกแต่งลวดลายต่างๆ ปัจจุบันนี้ในพระศาสนจักรลาติน คทาพระสังฆราชทำด้วยโลหะชุบเงิน หรือทอง หรือทำด้วยไม้มีโลหะหรืองาช้างประดับอยู่ภายนอก รูปร่างตรงโคนค่อนข้างแหลม ปลายงอทำเป็นรูปต่างๆ สูงประมาณ 1.75 เมตร

โอกาสที่ใช้
พระสังฆราชมีสิทธิ์ใช้คทาในเขตสังฆมณฑลของตน หากอยู่นอกเ ขต ต้องได้รับอนุญาตจากสมณะผู้ปกครองท้องถิ่น หรือจากพระสันตะปาปา

พระสังฆราชถือคทาในขณะที่สวมหมวกสูง (Mitra) เพราะเป็นสิ่งที่ใช้คู่กับคทา ท่านถือคทาด้วยมือซ้ายให้ส่วนงอนั้นหันไปทางสัตบุ รุษ ส่วนผู้ช่วยมิสซาเวลาถือคทาพระสังฆราชก็ถือให้ปลายงอหันออกเช่นเดียวกัน แต่เมื่อส่งคทาให้พระสังฆราช ต้องหันปลายงอเข้าหาตนเอง
 
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
 II.หมวกสูง (Mitra, mitre, infula)
หมวกสูงคืออาภรณ์สงฆ์ชนิดหนึ่ง รูปร่างสูง ยอดแหลม พระสังฆราช หรืออธิก ารคณะฤาษี (Abbot) ใช้สวมบนศรีษะขณะประกอบศาสนกิจอย่างสง่า

ที่มา
คำ “Mitra” นี้ ในภาษาลาตินหรือภาษากรีกหมายความถึงผ้าสำหรับพันหรือโพกศีรษะชนิดหนึ่งซึ่งชาวบ้านชายหญิงใ นสมัยโบราณใช้กัน ไม่เกี่ยวข้องกับอาภรณ์ทางศาสนาแต่อย่างใด “Infula” เป็นผ้าพันศีรษะชนิดหนึ่งซึ่งนักบวชชายหญิงชาวโรมันใช้ พระสงฆ์ชาวยิวใช้หมวกชนิดหนึ่ง รูปร่างไม่ปรากฏแน่นอน แต่จ ากคำที่เรียก สันนิษฐานว่าคงมีรูปร่างกลม มหาปุโรหิตยิวในพระคัมภีร์ใช้ผ้าโพกศีรษะและมีแผ่นทองประดับอยู่ด้านข้าง

พระศาสนจักรดั้งเดิมมิได้นำหมวกของพระสงฆ์หรือของมหาปุโรหิ ตชาวยิวมาใช้ หรือดัดแปลงเป็นอาภรณ์สงฆ์ของตน หนังสือจารีตของพระศาสนจักรก่อนปี ค.ศ. 1000 มิได้กล่าวถึงหมวกสูงที่ว่านี้เลย ต้องรอจนเริ่มศตวรรษที่ 11 จึงเริ่มพูดถึงหมวกสูงนับตั้งแต่นั้นม าก็กล่าวถึงมากขึ้น เข้าใจว่าหมวกสูงนี้เริ่มใช้ที่กรุงโรมก่อน แล้วจึงค่อยๆ แพร่หลายไปทั่วโลก

ดอม เลอแครก์ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาพิธีกรรม แสดงความเห็นว่า หมวกสูงของพระสังฆราชนี้คงดัดแปลงมาจากมงกุฎธรรมดาของกษัต ริย์ หรือเจ้านายสมัยโบราณ ที่ทำด้วยโลหะนั่นเอง และเพื่อมิให้มีน้ำหนักมากเกินไป จึงทำด้วยผ้าทองหรือเงิน แทนที่จะทำด้วยโลหะ

ส่วนไตรมงกุฎ (Tiara) ของพระสันตะปาปา คงมีที่มาเช่นเดียวกัน นี้ ปลายศตวรรษที่ 13 ไตรมงกุฎเริ่มเปลี่ยนรูป เริ่มติดลูกไม้ไว้ที่ฐาน ส่วนอื่นๆ ทำเป็นรูปดอกไม้ปักอยู่ทั่วไป ต่อมาขนาดของไตรมงกุฎยิ่งโตขึ้น และเพิ่มการประดับด้วยทองและเพชรพลอยและเติม ผ้าสองผืนปล่อยให้ตกไปข้างหลังเป็นพู่ ส่วนบนยอดก็เติมลูกโลกทำด้วยทอง และเติมมงกุฎชั้นที่สองลงไปอีก ในปี ค.ศ. 1344 พระสันตะปาปา เบเนดิก ที่ 12 ทรงรับสั่งให้เติมมงกุฎชั้นที่สามอีกชั้นห นึ่ง ปัจจุบันเราจึงเรียกว่า ไตรมงกุฎ

ไตรมงกุฎเป็นเครื่องยศโดยเฉพาะสำหรับพระสันตะปาปาในโอกาสพิเศษจริงๆ สมเด็จพระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 ทรงเลิกใช้ไตรมงกุฎ โดยมอบไตรมงกุฎของพระองค์แก่องค์กรการกุศลเพื่อคนยา กจนในโลก สำหรับพิธีสำคัญๆ พระองค์ทรงสวมพระมาลาสูง (หมวก) แทน

ความหมาย
ความหมายของหมวกสูงของพระสังฆราชอยู่ในบทสวดที่พระสังฆราชผู้ประกอบพิธีอภิเษกกล่าว ขณะที่ท่านและพระสังฆราชผู้ช่วยพิ ธี 2 องค์ ช่วยกันสวมหมวกสูงให้พระสังฆราชที่รับการบวชใหม่ ท่านกล่าวว่า

“ข้าแต่พระสวามีเจ้า ข้าพเจ้าทั้งสามใส่หมวกป้องกัน และนำความรอดบนศีรษะแห่งท่านบดีนักสู้ของพระองค์ผู้นี้จะได้มีใบหน้างามสง่ า ศีรษะมีอาวุธป้องกัน มีพระธรรมเก่าและใหม่เป็นเขาทั้งสอง ปรากฏเป็นที่น่าพรั่นพรึงแก่ศัตรูแห่งความจริง และโดยมีพระองค์คอยประสิทธิ์ประสาทพระหรรษทาน จะได้กลายเป็นนักรบกล้าแข็ง พร ะองค์เองในปางก่อนได้โปรดให้โมเสสได้เข้าร่วมสนทนากับพระองค์ กลับออกมามี หน้าตารุ่งโรจน์ ได้รับความสว่างและความจริง ปรากฏบนศีรษะเป็นรูปสองเขา และยังได้โปรดให้สมณะอารอนสวมหมวกเกียรติยศด้วย อาแมน”

ลักษณะ
หมวกสูงของพระสังฆราชประกอบด้วยรูปสามเหลี่ยมสองส่วน ทำด้วยกระดาษแข็งเพื่อรักษารูปและบุด้วยผ้า ส่วนล่างเย็บติดกันให้พอดีสำหรับสวมศีรษะ ส่วนบนและด้านข้างมีผ้าเย็บให้ติดกัน ปล่อยให้ กว้างสำหรับยืดออกได้ และพับให้แบนได้เวลาเก็บ

หมวกสูง มี 2 แบบ คือ แบบโรมัน และแบบโกธิก  แบบโรมัน เป็นแบบสูง เส้นข้างเป็นเส้นโค้ง สูงประมาณ 30 เซนติเมตร แบบโก ธิก มีลักษณะสั้นกว่า เมื่อพับแล้วจะเห็นด้านข้างเป็นเหลี่ยม ความสูงประมาณ 20 เซนติเมตร

ตามหนังสือ “จารีตของพระสังฆราช” หมวกสูง แบ่งออกเป็น 3 ชั้น

1.หมวกสูงมีค่า (Mitra Pretiosa)  ทำด้วยผ้าทองประดับด้วยดิ้นทองหรือเงิน และเพชรพลอยต่างๆ หรือมีแผ่นทองคำหรือเงินติดอยู่ด้านหน้า

2.หมวกสูงประดับทอง (Mitra Auriphrygiata) คล้ายชนิดแรก แ ต่ไม่มีแผ่นทองคำ หรือเงิน หรือเพชรพลอยประดับ

3.หมวกสูงธรรมดา (Mitra Simplex)  ทำด้วยผ้าสีขาว ส่วนที่ห้อยตกไปข้างหลังเป็นพู่ 2 อัน ก็ทำด้วยผ้าสีขาวเช่นกัน และมีครุยสีดำ ส่วนผ้าซับในสำหรับหมวกสูงชนิดที่ 1 และ 2 จะมีผ้าซับในสีแดง ส่วนหมวกสูงชนิดที่ 3 จะมีผ้าซับในสีขาว

โอกาสที่ใช้
พระสังฆราชใช้หมวกสูงขณะที่นั่งบนบัลลังก์ ขณะล้างมือ เมื่อรับก ารโยนกำยาน เมื่อเดินในขบวนแห่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าศีลมหาสนิท ท่านไม่สวมหมวกสูงหรือหมวกเล็ก
 
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - --

III.หมวกเล็ก (Pileolus, Calotte, Zuchetta)
หมวกเล็กเครื่องยศพระสังฆราชนี้ เป็นหมวกกลมๆ ใบเล็กๆ ไม่มีปีกซึ่งพระสันตะปาปา พระ คาร์ดินัล พระสังฆราช และพระสมณะผ ู้ใหญ่ที่ได้รับอนุญาตแล้ว เป็นผู้ใช้

ที่มา
เนื่องจากในสมัยโบราณ นักบวชชายในยุโรปต้องโกนผมเป็นวงกลมที่ขวัญ เพราะฉะนั้นเพื่อความอบอุ่นบนศีรษะ จึงจำเป็นต้ องสวมหมวกกลมเล็กๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเครื่องยศไป

ลักษณะ
ในศตวรรษที่ 16 หมวกเล็กที่กล่าวนี้มีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันเพราะคลุมทั้งหูและต้นคอด้วยเหมือนกับหมวกที่พระสันตะปาป าในสมัยโบราณใช้เป็นประจำ ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ก็ค่อยๆ ลดขนาดลงจนเหลือขนาดเล็กพอครอบศีรษะแบบปัจจุบันนี้ ตรงกลางหมวกมีที่จับทำด้วยด้ายหรือไหมถัก บางครั้งยังมีผ้าหบายๆ ทำเป็นซับในเพื่อช่วยให้เกาะศีรษะดียิ่งขึ้น

สี
หมวกเล็กของพระสันตะปาปามีสีขาว ของพระคาร์ดินัลมีสีแดงเลือดนก ของพระสังฆราชมีสีม่วง ของอธิการฤาษีมีสีดำ แต่บางองค์ก็มีสิทธิ์ใช้สีม่วงเช่นเดียวกับพระสังฆราช

พระสังฆราชมีสิทธิ์ใช้หมวกนี้หลังจากได้รับการแต่งตั้งแล้ว คือก่อนได้รับการอภิเษก ท่านสวมหมวกนี้ในพิธีทุกอย่างที่ท่านเป็นผู้ประกอบหรืออยู่ในที่นั้น ท่านสวมหมวกเล็กนี้ภายใต้หมวกสูงอีกทีหนึ่ง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

IV.กางเขนห้อยคอ
กางเขนห้อยคอของพระสังฆราช ทำด้วยโลหะมีค่า พระสังฆราชหรืออธิการฤาษีใช้ห้อยที่คอ ส่วนสายที่ใช้ทำด้ วยเชือก ริบบิ้น หรือทำเป็นสายสร้อย

ก่อนที่จะเป็นเครื่องยศของพระสังฆราช กางเขนนี้เคยใช้เป็นเครื่องแสดงความศรัทธาของบุคคลทั่วไป ฉะนั้นในสมัยโบราณ มิใช่เฉพาะพระมหาจักรพรรดิหรือพระสังฆราชเท่านั้น ที่ใช้กางเขนห้อยคอ แม้แต่สัตบุรุษธรรมดาก็ใช้ด้วย ส่วนกางเขนจะเป็นวัตถุมีค่ามากน้อยแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ของแต่ละคน

กางเขนของพระสังฆราชนี้ เคยมีรูปร่างแตกต่างกันมากมาย แล้วแต่สมัยและสถานที่ บางสมัยก็ทำเรียบๆ บางสมัยก็ทำแพรวพราวด้วยเพชรนิลจินดา หรือลงยาตามความนิยม สมัยก่อนตรงกลางของกางเขนจะทำเป็นช่องว่างสำหรับบรรจุพระธาตุนัก บุญหรือพระธาตุไม้กางเขนแท้ ฉะนั้นจึงเรียกเป็น  ผอบบรรจุพระธาตุ

พระสันตะปาปาเป็นผู้ใช้กางเขนห้อยคอเป็นเครื่องยศก่อน ต่อมาในศตวรรษที่ 12 และ 13 จึงปรากฏเป็นเครื่องยศส่วนหนึ่งข องพระสังฆราช แต่เป็นเครื่องใช้นอกพิธีกรรม แม้ในปัจจุบันนี้กางเขนของพระสังฆราชก็ไม่ได้รับการเสกแต่อย่างใด และไม่นับรวมอยู่ในจำพวก “มรดก” ที่พระสังฆราชต้องทิ้งไว้ให้โบสถ์พระสังฆราช (อาสนวิหาร) ของตนด้วย

ลักษณะ
สมัยนี้กางเขนห้องคอพระสังฆราชทำด้วยทองคำหรือเงิน หรือโลหะชุบทอง ประดับด้วยเพชรพลอยและของมีค่า บางครั้งก็บรรจุพระธาตุนักบุญหรือพระธาตุไม้กางเขนแท้ของพระเยซูเจ้า สายที่ใช้ผูกกางเขนนี้ สำหรับพระสันตะปาปาเป็นเชือกทอง สำหรับพระคาร์ดินัลเป็นเชือกสีแดง ส่วนพระสังฆราชเป็นเชือกสีเขียว แต่อนุญาตให้ใช้สร้อยคอทองคำ หรือโลหะชุบทองแทนเชือกได้

ผู้มีอภิสิทธิ์ใช้กางเขนห้อยคอนี้อาจใช้ได้ทุกแห่งแม้เมื่ออยู่ต่อหน้าพระสันตะปาปา ส่วนพระสังฆราชมีอภิสิทธิ์ใช้ได้ตั้งแต่ได้รับการอภิเษกแล้ว

กางเขนนี้ใช้ห้อยคอไว้นอกเสื้อหล่อ เสื้อขาวยาวสำหรับทำพิธี (alba) เสื้อคลุมสั้นทั้งชนิดคลุมหมด (mozetta) หรือชนิดไม่มีแขน (mantelletta) แต่ห้ามสวมทับบนเสื้อถวายมิสซา (casula) หรือเสื้อคลุมอวยพร (cappa)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

V.บัลลังก์พระสังฆราช (Cathedra, Throne, Trone)
บัลลังก์พระสังฆราชเป็นที่นั่งเฉพาะสำหรับพระสังฆราชในศาสนพิธี การใช้บัลลังก์เป็น อภิสิทธิ์ส่วนตัวของพระสังฆราช และใช้ได้ทุกหนทุกแห่งในเขตสังฆมณฑลของตน บัลลังก์ยังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและสิทธิ์ของพระสังฆราชที่จะสั่งสอนสัตบุรุษคริสตัง

ลักษณะ
บัลลังก์พระสังฆราชเป็นเก้าอี้ มีที่ท้าวแขนและพนักสูง สูงกว่ามาลาของพระสังฆราชขณะที่ท่านนั่งบนบัลลังก์นี้ บัลลังก์ตั้งอยู่บนพื้น 3 ชั้น ชั้นสูงสุดกว้างพอตั้งบัลลังก์ แล ะยังมีที่เหลือพอให้พระสงฆ์ผู้ช่วยในพิธียืนข้างซ้ายและขวาได้อย่างสบาย ด้านหน้ากว้างพอให้เด็กช่วยมิสซาที่ถือหนังสือและเทียน คุกเข่าต่อหน้าพระสังฆราชได้ ยกพื้นนี้ไม่ควรทำให้สูงกว่าพื้นของพระแท่นใหญ่ในวัด

ข้างๆ บัลลังก์พระสังฆราช มีม้านั่งเล็กๆ ไม่มีพนัก 3 ตัว สำหรับให้พระสงฆ์ผู้ช่วยพระสังฆราช ดีอาโกโน และซุบดีอาโกโนนั่ง เหนือบัลลังก์ขึ้นไปทำเป็นหลังคา (Baldachino) และมีผ้าปิ ดเบื้องหลังลงมาถึงพื้น ขั้นบันไดของยกพื้นบัลลังก์ปูด้วยพรม แต่เป็นพรมชนิดที่มีค่าน้อยกว่าพรมปูพระแท่นใหญ่ ตัวที่นั่งของพระสังฆราชคลุมด้วยแพรสี ตามสีวันฉลองผ้าปิดเบื้องหลังบัล ลังก์ที่ห้อยจากหลังคาลงมาถึงพื้นก็ใช้สีเดียวกัน ตามธรรมเนียมที่กรุงโรม ไม่ติดตราอาร์มของพระสังฆราชไว้ที่ผ้าปิดเบื้องหลังของบัลลังก์ แต่มักติดอยู่ที่ตัวหลังคาหรือส่วนที่ห้อย ออกมาข้ างๆ บัลลังก์พระสังฆราชนี้ตั้งตายตัวอยู่ในวัดพระสังฆราช ส่วนที่วัดอื่น จัดตั้งขึ้นเฉพาะเมื่อพระสังฆราชมาทำพิธีเท่านั้น

ที่ตั้ง
บัลลังก์พระสังฆราชอาจตั้งได้ 2 แห่ง แล้วแต่ตำแหน่งของพร ะแท่นใหญ่ในวัด หากพระแท่นใหญ่อยู่กลางวัด เช่น ตามมหาวิหารใหญ่ๆ ในกรุงโรม บัลลังก์อยู่ที่ปลายสุดของวัด ติดผนังด้านหลัง และหันออกมาทางสัตบุรุษ แสดงว่าพระสังฆราชเป็นผู้ค วบคุมแท้จริงของคณะสงฆ์ที่นั่งเป็นรูปครึ่งวงกลมอยู่ใกล้ๆ และของสัตบุรุษทั้งวัดที่อยู่ไกลออกไป (ความหมายดั้งเดิมของคำ Episcopus คือ ผู้ควบคุม)

หากพระแท่นใหญ่อยู่ติดกับฝาผนังด้านหลัง เมื่อนั้นบัลลังก์พระ สังฆราชก็ตั้งอยู่ข้างพระวรสารโดยหันข้างให้สัตบุรุษ และห่างจากพระแท่นใหญ่พอที่จะสามารถทำพิธีได้สะดวก
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

VI.ฟัลดิสตอรีอูม (Faldistorium)
นอกจากบัลลังก์ที่ตั้งตายตัวแล้ว บางครั้งพระสังฆราชยังใช้ม้า นั่งอีกชนิดหนึ่งในพิธี เรียกว่า  ฟัลดิสตอรีอูม ม้านั่งชนิดนี้แต่เดิมทำแบบพับได้ ขาเป็นรูปตัว X มีที่ท้าวแขน แต่ไม่มีพนักพิงหลัง เป็นม้าที่ยกเปลี่ยนที่ได้สะดวก บางครั้งก็อยู่บนพื้นวัดหน้าพ ระแท่นใหญ่ ทางด้านซ้ายมือเวลามองเข้าไปทางพระแท่น บางครั้งก็ตั้งไว้กลางพระแท่น บนยกพื้นของพระแท่นที่พระสงฆ์ถวายมิสซา พระสังฆราชนั่งบนม้านี้ หันหน้าออกมาทางสัตบุรุษ บ างครั้งก็กลับตั้งไว้ต่อหน้าพระสังฆราชเพื่อให้ท่านใช้เป็นที่ท้าวแขน ม้านั่งพระสังฆราชแบบนี้ คลุมด้วยแพรสีตามวันฉลองด้วย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

VII.เสื้อคลุมเล็ก
เสื้อคลุมเล็กของพระสังฆราชมีอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดคลุมแค่บ่า ยาวถึงเอว เรียกว่า Mozzetta และชนิดไม่มีแขน แต่ยาวถึงเข่า เรียกว่า Manteletta ยังมีเสื้อคลุมยาวถึงข้อเท้า แต่ไม่มีแขน เรียกว่า Mantellone เป็นเสื้อของพระสมณะชั้นผู้ใหญ่ แต่มียศต่ำกว่าพระสังฆราช

เสื้อคลุมเล็กทั้ง 2 ชนิดนี้ มีสีม่วง เสื้อคลุมชนิดคลุมแค่บ่า (Mozzetta) เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจหน้าที่ พระสังฆราชใช้ใ นเขตสังฆมณฑลของตน ส่วนเสื้อคลุมชนิดไม่มีแขน (Manteletta) พระสังฆราชใช้นอกสังฆมณฑลของตน

(คัดจากหนังสือ “สารสาสน์” ฉบับที่ 11, 13, 15, 16 ปีที่ 45, 1965, หน้า 342, 395, 471, 493)
 
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

ปัลลีอูม (Pallium)

ปัลลีอูม เป็นเครื่องหมายและสัญลักษณ์ที่ใช้ในพระศาสนจักร เป็นสายผ้าที่ทำจากขนแกะสีขาว มีสายห้อยอยู่สองด้าน พร้อมทั้งมีเครื่องหมายกางเขนสีดำ 6 อัน เป็นเครื่องหมายที่สมเด็จพระสันตะปาปาสวมบนบ่าและบางโอกาสบรรดาพระสังฆราชก็สวมไว้บนบ่าเช่นเดียวกัน ปัลลีอูมเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงอำนาจสูงสุดในหน้าที่อัครสาวก (Plenitude of the Pontifical Office) และการมีส่วนร่วมในอำนาจหน้าที่ของสมเด็จพระสันตะปาปา บรรดาพระอัครสังฆราชจะยังคงไม่ได้รับรูปแบบแห่งอำนาจหน้าที่นี้จนกว่าจะมีการร้องขอและได้รับมอบแล้วเท่านั้นปัลลีอูมเป็นเครื่องหมายที่ทำจากขนแกะ และได้รับการเสกในวันฉลองนักบุญอักแนสในวัดนักบุญอักแนส (Fuori le mura) ในขณะที่มีการขับร้องบทเพลง Agnus Dei และก่อนที่จะถูกส่งออกไป จะถูกนำมาวางไว้บนหลุมศพนักบุญเปโตร ในมหาวิหารนักบุญ เปโตรเป็นเวลา 1 คืน

ประวัติแรกเริ่มของปัลลีอูมนี้ค่อนข้างมืดมน มาจากเครื่องหมายของจักรพรรดิแน่ และดูเหมือนว่าจะถูกสวมใส่โดยพระอัครสังฆราช โดยที่ยังไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับกรุงโรม ต่อมาเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาได้ยอมใช้เครื่องหมายนี้แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงส่งไปให้แก่พระผู้ใหญ่ของพระศาสนจักรในบางโอกาส เพื่อเป็นการให้เกียรติ และตั้งแต่นั้นมาวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา บรรดาพระอัครสังฆราช Metropolitans ต่างก็เรียกร้องขอเครื่องหมายนี้ ทางพระศาสนจักรตะวันออกเรียกเครื่องหมายนี้ว่า Omophorion มีลักษณะเป็นอักษรตัว Y แม้ว่าจะเลิกใช้ไปแล้ว แต่ก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้างเหมือนกัน

---------------------------------

(คัดจากหนังสือ “บิดาของเรา” พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู, ปีที่พิมพ์ 1998 )