I.คทาพระสังฆราช ที่มา |
|
|
แบบที่สาม ตอนปลายเป็นกางเขน
ปลายกางเขนงอ มักทำเป็นรูปงู เป็นแบบที่ใช้กันมากในพระศาสนจักรตะวันออก ในราวศตวรรษที่ 11 ปลายงอนั้นเปลี่ยนเป็นรูปวงขด และตกแต่งลวดลายต่างๆ ปัจจุบันนี้ในพระศาสนจักรลาติน คทาพระสังฆราชทำด้วยโลหะชุบเงิน หรือทอง หรือทำด้วยไม้มีโลหะหรืองาช้างประดับอยู่ภายนอก รูปร่างตรงโคนค่อนข้างแหลม ปลายงอทำเป็นรูปต่างๆ สูงประมาณ 1.75 เมตร
|
II.หมวกสูง (Mitra, mitre, infula) ที่มา |
|
|
ส่วนไตรมงกุฎ (Tiara) ของพระสันตะปาปา คงมีที่มาเช่นเดียวกัน นี้ ปลายศตวรรษที่ 13 ไตรมงกุฎเริ่มเปลี่ยนรูป เริ่มติดลูกไม้ ไว้ที่ฐาน ส่วนอื่นๆ ทำเป็นรูปดอกไม้ปักอยู่ทั่วไป
ต่อมาขนาดของไตรมงกุฎยิ่งโตขึ้น
และเพิ่มการประดับด้วยทองและเพชรพลอยและเติม ผ้าสองผืนปล่อยให้ตกไปข้างหลังเป็นพู่ ส่วนบนยอดก็เติมลูกโลกทำด้วยทอง และเติมมงกุฎชั้นที่สองลงไปอีก ในปี ค.ศ. 1344 พระสันตะปาปา เบเนดิก ที่ 12 ทรงรับสั่งให้เติมมงกุฎชั้นที่สามอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเราจึงเรียกว่า ไตรมงกุฎ
|
III.หมวกเล็ก (Pileolus, Calotte, Zuchetta) |
|
|
สี |
IV.กางเขนห้อยคอ |
|
|
ลักษณะ |
|
|
(Baldachino) และมีผ้าปิ ดเบื้องหลังลงมาถึงพื้น ขั้นบันไดของยกพื้นบัลลังก์ปูด้วยพรม แต่เป็นพรมชนิดที่มีค่าน้อยกว่าพรมปูพระแท่นใหญ่ ตัวที่นั่งของพระสังฆราชคลุมด้วยแพรสี ตามสีวันฉลองผ้าปิดเบื้องหลังบัล ลังก์ที่ห้อยจากหลังคาลงมาถึงพื้นก็ใช้สี เดียวกัน ตามธรรมเนียมที่กรุงโรม ไม่ติดตราอาร์มของพระสังฆราชไว้ที่ผ้าปิดเบื้องหลังของบัลลังก์ แต่มักติดอยู่ที่ตัวหลังคาหรือส่วนที่ห้อย ออกมาข้ างๆ บัลลังก์พระสังฆราชนี้ตั้งตายตัวอยู่ในวัดพระสังฆราช ส่วนที่วัดอื่น จัดตั้งขึ้นเฉพาะเมื่อพระสังฆราชมาทำพิธีเท่านั้น ที่ตั้ง |
VI.ฟัลดิสตอรีอูม (Faldistorium) |
|
|
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - |
ปัลลีอูม (Pallium) |