![]() |
![]() |
![]() | ![]() |
คุณพ่ออนุชา ไชยเดช และ วัชรี กิจสวัสดิ์ |
![]() | ![]() |
ไม่น่าแปลกกับคำถามนั้น เพราะชีวิตของพระคุณเจ้าใหม่ของเรากับอายุบวช 20 ปี 11 ปีใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนจนจบปริญญาเอก เป็นด็อกเตอร์ของวิชาพระคัมภีร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นวิชาที่หินที่สุดในการเรียนเ พราะต้องเรียนรู้หลายภาษารวมทั้งในเมืองไทย มีผู้จบด้านนี้จนถึงปริญญาเอกเพียง 2 คนเท่านั้น ส่วน 9 ปีที่เมืองไทย ชีวิตส่วนใหญ่คือการเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยแสงธรรม ใครเหรอ? อย่าทิ้งคำถามให้คาใจ บทสัมภาษณ์นี้จะพาท่านผู้อ่านร่วมสำรวจเส้นทางชีวิตพระสังฆราชใหม่ จากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง สู่วิถีชีวิตต่อไปที่ธรรมดาไม่ได้อีกแล้ว
ในที่สุดก็มาเป็นพ่อเอง ซึ่งได้รับจดหมายจากพระสมณทู
ตเป็นฉบับที่ 3 เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2009 ตอนแรกที่ได้รับจดหมายต้องยอมรับว่ากังวลใจเหมือนกัน กลัวว่าจะเป็นเรื่องนี้เพราะเวลาผ่านไปนานมากแล้ว จึงยังไม่กล้าเปิดจดหมายทันที หลังจากสวดภาวนา เฝ้าศีลมหาสนิทแล้วจึงมาเปิดจดหมาย และก็เป็นจริง ตอนนั้นพ่อรู้สึกกังวลใจมากขึ้นเพราะเป็นงานที่หนักและไม่ได้เตรียมตัวมาในด้านนี้ด้วย บอกตรงๆ ว่าไม่พร้อมที่จะรับงานนี้ แต่ด้วยความเชื่อ พ่อมั่นใจว่า เมื่อพระเลือกพ่อให้มาทำหน้าที่นี้ พระจะช่
วยเหลือพ่อ และพ่อเป็นเพียงเครื่องมือของพระ เป็นท่อธารของพระหรรษทานให้กับคนอื่นเท่านั้นเอง คนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังจริงๆ เป็นพระ เมื่อคิดแบบนี้พ่อก็รู้สึกสบายใจ
เมื่ออายุถึงเกณฑ์การศึกษา พ่อเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำ
หมู่บ้านซึ่งเดิมเป็นของรัฐบาล ตอนนั้นยังไม่ได้โอนให้วัด เมื่อพ่อขึ้น ป.5 ทางรัฐบาลได้โอนให้เป็นโรงเรียนของวัดแล้วจึงมีซิสเตอร์จากท่าแร่เข้ามาบริหาร ในช่วงที่เป็นนักเรียนได้ไปช่วยมิสซาแทบทุกวัน เนื่องจากเด็กคาทอลิกมีเยอะจึงต้องแย่งกันเพื่อช่วยมิสซา พ่อเองมีความสนใจอยากเป็นพระสงฆ์ เมื่อจบ ป.7 ก็มีโอกาสไปสัมผัสชีวิตเณรที่อุดรฯ เมื่อกลับมาก็ขอคุณพ่อเจ้าวัดเพื่อเข้าเป็นเณร แต่ตอนนั้นคุณพ่อคงเห็นว่าเรายังเด็ก ยังไ
ม่พร้อมจึงยังไม่ให้เข้าเป็นเณร จากนั้นจึงไปเรียนต่อ ม.ศ.1-ม.ศ.2 ที่โรงเรียนบ้านดุงวิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ หลังจากจบ ม.ศ.2 แล้วพ่อมีโอกาสไปสัมผัสชีวิตเณรอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาจึงไปขอคุณพ่อเจ้าวัดสมัครเข้าบ้านเณร คุณพ่อเจ้าวัดในขณะนั้นเห็นดีด้วย พ่อจึงเรียน ม.ศ.3 จนจบ ม.ศ.5 ที่บ้านเณรฟาติมา ท่าแร่ เนื่องจากสังฆมณฑลอุดรธานียังไม่มีบ้านเณรเล็ก เมื่อปี ค.ศ. 1982 พ่อจึงเข้าบ้านเณรกลางโดยไม่ต้องเป็นครูเ
ณรเหมือนคนอื่นๆ จากนั้นปี ค.ศ. 1983-1989 พ่อศึกษาอยู่ที่บ้านเณรใหญ่แสงธรรมจนจบปีที่ 7 ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีปีฝึกงานอภิบาล
ชีวิตตอนเป็นเณรก็เรียบง่าย ไม่หวือหวาอะไร เมื่อย้อนกลับไปดูเหตุการณ์เมื่อตอนจบ ป.7 คุณพ่อเจ้าวัดในตอนนั้นไม่ใช่คุณพ่อเทรวิสเป็นองค์อื่นที่มาแทน ท่านยังไม่ให้เราเข้าบ้านเณร อาจเป็นแผนการของพระที่ต้องการให้พ่อมีความมั่นใจมากขึ้นหรือเปล่าไม่ทราบ ตอนแรกก็เสียใจที่ไม่ได้ไปพร้อมกับเพื่อนๆ อย่างไรก็ตาม 2 ปี ผ่านไป ส่วนใจก็อยากไปอยู่ คิดว่าเป็ นแผนการของพระที่ต้องการเรียกร้องให้พ่อมั่นใจยิ่งขึ้น และเมื่อผ่านจุดนี้ไปและได้เข้าบ้านเณร พ่อรู้สึกมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น บางคนที่ไปก่อนก็กลับมาเพราะคิดถึงบ้าน เรื่องการตัดสินใจบวชเป็นพระสงฆ์ พ่อคิดว่ามันเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมาพ่อมีความมั่นใจขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อจะรับพิธีบวชสังฆานุกรพร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน พ่อรู้สึกมีความมั่นใจมากว่าพ่อเดินมาถูกทางแล้วและนี่คือกระแสเรียกของพ่อ
ขณะที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 5 คุณพ่อวงศ์สวัสดิ์ แก้วเสนีย์ อธิการบ้านเณรในสมัยนั้นได้เรียกพบและแจ้งให้ทราบว่า ทางบ้านเณรต้องการให้เรียนต่อเพื่อเป็นอาจารย์ ก็ทราบตั้งแต่ตอนนั้น ตอนแรกจะให้ไปเรียนวิชาปิตาจารย์ แต่เนื่องจากพระคุณเจ้ายอดท่านสนใจเรื่องพระคัมภีร์อยู่แล้ว จึงปรึกษาทางแสงธรรมว่า ให้ไปเรียนด้านพระคัมภีร์ได้หรือไม่ ทางแสงธรรมตกลงจึงส่งพ่อไปเรียนพระคัมภีร์ ในปี 1993-1997 ที่กรุงโรม ในระดับปริญญาโท เมื่อจบแล้วพ่อได้ขออนุญาตพระคุณเจ้ายอดไปสัมผัสประสบการณ์งานอภิบาลที่วัดนักบุญฟิลิป อัครสาวก พาซาเดน่า ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1997 อยู่ที่นั่น 11 เดือน เหตุผลอันหนึ่งที่พ่อมาอยู่ที่วัดแห่งนี้คือ พระคุณเจ้ายอดรู้จักคุณพ่อเจ้าวัดเป็นอย่างดีและท่านเคยส่งพระสงฆ์บางคนไปที่นั่นด้วย อีกทั้งสถานที่ก็มีความเหมาะสม วัดและวิทยาลัยที่พ่อเรียนภาษาอังกฤษอยู่ใกล้กันด้วย
ในช่วงเวลาที่พ่ออยู่ที่นั่น เท่าที่ได้สัมผัส พ่อคิดว่าความเชื่อของคริสตชนในสหรัฐอเมริกาเติบโตมากกว่าของคนไทย สัตบุรุษมีความรู้มากกว่า หลายคนเรียนพระคัมภีร์จนถึงระดับด็อกเตอร์และสอนในมหาวิทยาลัยคาทอลิกด้วย ระบบการให้ความรู้เรื่องศาสนาของเขาค่อนข้างก้าวหน้ากว่าของเรา เขามีผู้รู้และสื่อหลายอย่าง สำหรับประเทศไทยเรื่องของศาสนายังเป็นเรื่องของพระสงฆ์นักบวชมากกว่าสัตบุรุษ แต่เวลานี้สัตบุรุษของเราเ
ริ่มตื่นตัวในเรื่องศาสนาและมีโอกาสได้เข้าร่วมอบรมและสัมมนาเกี่ยวกับหลักคำสอนทางศาสนามากขึ้นด้วย วิทยาลัยแสงธรรมเองได้เปิดโอกาสให้สัตบุรุษเข้ามาศึกษาแล้วตอนนี้ พ่อคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานความเชื่อทางศาสนาของคริสตชนในประเทศไทยของเราจะเติบโตเทียบเท่ากับของพวกเขา เหมือนกัน
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 พ่อได้รับจดหมายจากพระสมณทูตซึ่งแจ้งให้ทราบว่าสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้ทรงแต่งตั้งพ่อให้เป็นพระสังฆราช องค์ใหม่ของสังฆมณฑลอุดรธานี และให้พ่อติดต่อกลับไปหาพระสมณทูตโดยด่วน เมื่อได้รับจดหมายแล้วพ่อไม่สามารถปรึกษาใครได้ในตอนนั้น เพราะทุกอย่างต้องเก็บไว้เป็นความลับ ตอนบ่ายของวันต่อมาพ่อจึงตัดสินใจติดต่อกลับไปหาพระสมณทู
ตเพื่อนัดหมายวันที่จะเข้าพบท่าน ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ่อจึงไปพบท่าน และท่านเองมีวิธีการพูดแบบทูตที่ทำให้พ่อไม่รู้สึกกังวลใจ มากนัก เมื่อท่านถามเกี่ยวกับสิ่งที่แจ้งให้ทราบในจดหมาย พ่อบอกท่านตรงๆ ว่าพ่อไม่พร้อม แต่เมื่อเป็นพระประสงค์ของพระ พ่อก็ยินดีรับตำแหน่งนี้ และเพื่อแสดงความสมัครใจครั้งนี้ ท่านให้พ่อเขียนจดหมายถึงสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ฉบับหนึ่ง จากนั้นท่านและที่ปรึกษาจึงคุยกับพ่อเกี่ยวกับเรื่องวันประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ได้วันที่ 14 พฤศจิกายน
2009 ดังที่เราทุกคนทราบแล้ว
สำหรับพ่อแล้ว กางเขนบ่งบอกถึงความรักและปรีชาญาณล้ำเลิศของพระเป็นเจ้า ความสุภาพถ่อมตนจนถึงที่สุดของพระเยซูคริสตเจ้า และความรอดพ้นของมวลมนุษย์ด้วย ด้วยเหตุนี้ พ่อจึงเลือกคติพจน์อันนี้ อนึ่ง ในทางโลกแล้ว เส้นทางแห่งความสำเร็จในชีวิตของเรามนุษย์ก็ไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่ต้องผ่านความทุกข์ยากลำบากและอุปสรรคมากมายด้วยกันทั้งนั้น ถ้ากางเขนเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งเหล่านี้ เราต้องพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันเพื่อความสำเร็จของชีวิต ความหมายของตราประจำตำแหน่ง หนังสือพระคัมภีร์ เนื่องจากพ่อเป็นอาจารย์สอนพระคัมภีร์และพระคุ ณเจ้ายอดทำงานพระคัมภีร์อยู่แล้ว พ่อจึงเลือกหนังสือพระคัมภีร์เป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งเพื่อเป็นการสานต่องานจากท่านด้วย อนึ่งสำหรับพ่อพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวาจาของพระเจ้าที่ตรัสด้วยภาษาของมนุษย์เพื่อความรอดพ้นของเรา เป็นสัญลักษณ์ของงานแพร่ธรรมด้วย เพราะพระคัมภีร์เป็นข่าวดีที่ต้องประกาศและแบ่งปันให้กับคนอื่น ในที่นี้พระคัมภีร์ยังหมายถึงหน้าที่สำคัญอันหนึ่งของคริสตชนทุกคนในเขตสังฆมณฑลอุดรธานีด้วย นั่นคือ การรู้จักพระคริสตเจ้า ทั้งนี้เพราะการไม่รู้จักพระคั มภีร์คือการไม่รู้จักพระคริสตเจ้า (นักบุญเยโรม) ตรงกันข้าม ยิ่งเรารู้จักพระคัมภีร์ เราก็ยิ่งรู้จักพระคริสตเจ้ามากขึ้น แล้วเราก็ยิ่งจะรักและเต็มใจที่จะรับใช้พระองค์มากขึ้นด้วย ยิ่งกว่านั้นหนังสือพระคัมภีร์และลูกแกะปัสการวมกันเป็นสัญลักษณ์หมายถึงพันธกิจสำคัญของประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี กล่าวคือ การหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตของคริสตชนด้วยอาหาร ทั้งจากโต๊ะพระวาจาและจากโต๊ะพระกายพระคริสตเจ้า (DV 21) โล่ หมายถึงการปกป้องคุ้มครอง (สดด 3:3) ความโปรดปราน (สดด 5:12) และความซื่อสัตย์ (สดด 91:4) ของพระเจ้า รวมทั้งความเชื่อของคริสตชน (อฟ 6:16) ในเขตสังฆมณฑลอุดรธานีด้วย สีทองเป็นสีแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติรุ่งโรจน์ เจ็ดแฉกหมายถึงความครบบริบูรณ์ของสัญลักษณ์ดังกล่าว ดวงดาวสีฟ้า หมายถึงพระนางพรหมจารีมารีย์ ผู้ทรงเป็นแบบฉบับของบรรดาคริสตชน ทั้งในเรื่องความนบนอบต่อพระประสงค์และการดำเนินชีวิตตามพระวาจาของพระเจ้า (ลก 1:38) ยิ่งกว่านั้น ดวงดาวห้าดวง ยังเป็นสัญลักษณ์แทนห้าจังหวัดซึ่งอยู่ในเขตสังฆมณฑลอุดรธานี กล่าวคือ อุดรธานี ขอนแก่น เลย หนองคาย และหนองบัวลำภูอีกด้วย ลูกแกะปัสกาที่ยืนอยู่ หมายถึงพระเยซูเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพแล้ว พระองค์ทรงเป็นเสมือนลูกแกะที่ถูกฆ่าถวายเป็นเครื่องบูชา (วว 5:6) เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากบาปอาศัยพระโลหิตที่ไหลหลั่งบนกางเขนของพระองค์ (วว 7:14) ยิ่งกว่านั้น ลูกแกะปัสกายังเป็นสัญลักษณ์หมายถึงศีลมหาสนิท อันเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตของคริสตชนอีกด้วย ธงสีขาว หมายถึงชัยชนะ ด้ามธงที่เป็นกางเขนสีดำ
และรูปกางเขนสีแดงหมายความว่าพระเยซูเจ้าทรงได้รับชัยชนะเหนือความตายและบาปโดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนกางเขน
ช่วงเวลานี้พ่อยังไม่คิดวางแผนงานอะไรเป็นพิเศษ แต่คิดว่างานแรกหลังจาก รับตำแหน่งแล้วคือการเยี่ยมเยียนสัตบุรุษ คณะนักบวชที่ทำงานในสังฆมณฑล และวัดต่างๆ ส่วนงานอื่นๆ จะสานต่อนโยบายของพระคุณเจ้ายอดไปก่อน จากนั้น พ่ออยากจะทำสมัชชาของสังฆมณฑล สักครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการทบทวนงานในอดีตและวางแผนงานสำหรับอนาคตร่วมกัน จุดแข็งของสังฆมณฑลอุดรธานี หรือจุดเด่นในงานอภิบาลคืออะไร ณ เวลานี้ พ่อคิดว่าสังฆมณฑลอุดรธานีมีจุดเด่นในงานอภิบาลหลายอย่างเหมือนกัน เรามีคณะนักบวชที่มาช่วยทำงานของพระในดินแดนแห่งนี้หลายคณะไม่ต่างจากอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เท่าใดนัก
ด้วยเหตุนี้ สัตบุรุษของเราจึงมีโอกาสได้สัมผัสกับพระพรของพระเป็นเจ้าที่หลายหลาก ซึ่งล้วนเป็นผลดีและประโยชน์ แก่ชีวิตฝ่ายจิตของพวกเขา ยิ่งกว่านั้น นอกจากเราจะมีวัฒนธรรมไทยที่ล้ำค่าแล้ว
เรายังมีวัฒนธรรมอีสานซึ่งเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของเราที่ร่ำรวยด้วยปรัชญาชีวิตไม่ด้อยกว่าวัฒนธรรมอื่นๆ ในโลกนี้ คำสอนหลายอย่างที่เราพบในผญาอีสานคล้ายกันและสอดคล้องกับหลักคำสอนที่เราพบในพระคัมภีร์ของเรา สิ่งนี้ทำให้พ่อมองเห็นเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่พระเป็นเจ้าได้ทรงหว่านไว้ในแผ่นดินอีสานแห่งนี้ และที่สำคัญที่สุดพ่อคิดว่า ความเชื่อที่เข้มแข็งของบรรดาคริสตชนที่ได้รับการปลูกไว้โดยบรรดาธรรมทูตในดินแดนแห่งนี้เป็นต้นทุนที่สำคัญและยิ่งใหญ่สำ
หรับพ่อและผู้ร่วมงานทุกคนที่สืบสานต่องานอภิบาลจากพวกท่านเหล่านั้น อันที่จริงในประเทศไทยพระศาสนจักรคาทอลิกของเราใช้ พระคัมภีร์เป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีกรรมซึ่งเป็นการนำพระคัมภีร์มาใช้ในภาคปฏิบัติ เป็นการเข้าใจผิดที่คิดว่าคาทอลิกของเราไม่ได้สนใจพระคัมภีร์เหมือนกับพี่น้องคริสตชนกลุ่มอื่น เพียงแต่วิธีการใช้เราอาจจะแตกต่างจากพวกเขา เท่านั้นเอง เราได้ยินพระวาจาของพระเจ้าในมิสซาทุกวัน พิธีกรรมทางศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ของเราล้วนมีพื้นฐานอยู่ในพระคัมภีร์ ยิ่งกว่านั้น เราถือว่าพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของเทววิทยาทุกสาขา เพียงแต่เราไม่ได้เน้นท่องจำพระคัมภีร์และอาจนำใช้ในชีวิตประจำวันค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับพี่น้องคริสตชนกลุ่มอื่นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ในปีนี้ซึ่งเป็นปีสุดท้าย พ่อคิดว่า สิ่งที่เราน่าจะทำมากเป็นพิเศษ คือส่งเสริมและปลุกเร้าใจคาทอลิกของพวกเราให้พยายามนำพระคัมภีร์มาเจริญชีวิต ให้เป็นรูปธรรมจริงๆ ไม่ใช่แค่ฟังพระวาจาในวัดแล้วออกจากวัดก็จบไป แ ต่นำสิ่งที่พระสงฆ์อธิบายในวัดในมิสซา มาดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับพระวาจาที่เราได้ฟัง ส่วนบรรดาพระสงฆ์ นักบวช ที่มีหน้าที่แบ่งปันพระวาจา จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องการเตรียมเทศน์เพื่อสัตบุรุษ จะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น อันที่จริงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพระศาสนจักรของเรารณรงค์ ในเ
รื่องนี้มาก พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะให้สัตบุรุษของเราเข้าหาพระคัมภีร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแปล พระคัมภีร์ฉบับคาทอลิก และในเรื่องการอธิบายต่างๆ ที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตเราก็ทำกันมาก แต่ละสังฆมณฑล มีกิจกรรมหลายอย่างเพื่อสัตบุรุษของตนได้เรียนรู้และเข้าใจพระคัมภีร์มากยิ่งขึ้นในปีพระวาจา ถ้าเราทำ สิ่งเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าปีพระวาจาจะผ่านไป พ่อคิดว่า คาทอลิกของเราจะมีความรู้ในพระคัมภีร์มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้พระคัมภีร์มาก ก็ยิ่งจะรักพระและเต็มใจรับใช้พระองค์มากยิ่งขึ้น
สำหรับบรรดาพระสงฆ์และพี่น้องสัตบุรุษที่รักทุกคน ในฐานะประมุขคนใหม่พ่ออยากจะบอกพวกท่านว่าพ่อไม่สามารถทำงานในสังฆมณฑลของเราโดยลำพัง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกท่านทุกคนที่จะต้องให้ความร่วมมือและเป็นหนึ่งเดียวกับพ่อในภารกิจต่างๆ ที่พ่อได้รับมอบหมาย เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อพระนามและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเป็นเ
จ้าจะกระจายออกไปให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างเราได้รู้จักและสัมผัสความรักของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาด้วยเหมือนกัน
ดอกไม้งามมากมาย บนทุ่งแห่งความเชื่อของชีวิตคริสตช น พระเป็นเจ้าทรงเลือกดอกไม้ธรรมดาๆ ดอกหนึ่งในทุ่งชนบทห่างไกล ค่อยๆ ชุบเลี้ยงให้เป็นดอกไม้ที่ทรงคุณค่า และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ด้วยสายพระเนตรเฉียบคมของพระเป็นเจ้า ดอกไม้ดอกนี้ก็ถูกจัดวางไว้บนตำแหน่งอันสูงศักดิ์ ผู้นำแห่งสังฆมณฑลอุดรธานี พระสังฆราชประมุขผู้ถือไม้เท้าค้ำยันความเชื่อแห่งการเป็นนายชุมพาบาลเพื่อนำฝูงแกะคือสมาชิกทุกคในสังฆมณฑลให้ก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์สืบไป ความรอดพ้นมาจากกางเขน : A Cruce Salus คติพจน์ที่พระคุณเจ้าลือชัยเลือกเพื่อตอกย้ำว่าบนกางเขน นั้นมีความสมบูรณ์ชัดเจน เป็นคำตอบของทุกคำถาม เป็นหนทางให้เราก้าวเดิน และติดตามต่อไปเพื่อไปสู่ความรอดนิรันดร ขอบคุณพระเป็นเจ้าที่ได้ให้บทเรียนชีวิตกับเราคริสตชนชาวไทยอีกบทหนึ่ง ด้วยการเลือกเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง เพื่อก้าวขึ้นสู่บัลลังก์สังฆราชา ถ้าจะถามว่า พระเป็นเจ้าเลือกใครเหรอ? พระเป็นเจ้าเลือกผู้ที่เลือกพระองค์ให้เป็นผู้นำทางชีวิต
ผู้ที่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเสมอๆ ผู้ที่ตระหนักชัดว่าแท้จริงแล้ว ความรอดพ้นมีที่มาจากแหล่งกำเนิดเดียวคือบนเส้นทางกางเขนของพระคริสตเจ้านั่นเอง |
![]() |
![]() | |