การเป็นองค์พยานด้วยการดำรงชีวิตและการติดต่อกัน
๑.
พระศาสนจักรต้องเข้าไปอยู่ในกลุ่มชนเหล่านี้ โดยมีลูกของพระศาสนจักรอยู่ในกลุ่มชนนั้นแล้ว หรือส่งไปหากลุ่มชนนั้น เพราะคริสตชนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดต้องเจริญชีวิตเป็นฉบับดี และเป็นองค์พยานด้วยคำพูดแสดงว่าเขาเป็นคนใหม่เมื่อรับศีลล้างบาปและมีพละกำลังของพระจิตเมื่อรับศีลกำลัง. ดังนี้เมื่อคนทั้งหลายเห็นกิจการดีของเขา จะได้สรรเสริญพระบิดา (เทียบ มธ. ๕:๑๖) จะได้เข้าใจความหมายแท้จริงของชีวิตมนุษย์กับความเกี่ยวโยงผูกพันระหว่างมนุษย์ทั่วไปดียิ่งขึ้น.
เพื่อที่จะเป็นองค์พยานประกาศพระคริสตเจ้าอย่างได้ผลดี
คริสตชนต้องรวมเข้ากับคนเหล่านี้โดยให้ความเคารพยกย่องและรักเขา ถือว่าตนเป็นสมาชิกในกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ด้วย มีส่วนร่วมในชีวิตทางวัฒนธรรมและสังคมโดยทำการติดต่อคบค้าและธุระการงานในชีวิตมนุษย์; ต้องสนิทคุ้นเคยกับประเพณีนิยมทางชาติและศาสนาของเขา ต้องรู้จักค้นพบพืชพันธุ์ของพระคริสตเจ้าที่ซ่อนอยู่ในประเพณีนิยมเหล่านั้นด้วยความชื่นชมและเคารพ; ในขณะเดียวกันต้องเอาใจใส่เฝ้าดูความชื่นชมและเคารพ; ในขณะเดียวกันต้องเอาใจใส่เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งที่เกิดขึ้นในหมู่ชนชาติต่าง ๆ และดำเนินการอย่าให้มนุษย์ในสมัยของเราที่หลงวิทยาศาสตร์และวิชาการของโลกปัจจุบันจนเกินไปหันเหไปจากเรื่องของพระเป็นเจ้าเสีย ตรงกันข้ามควรพยายามให้เขาเกิดมีความปรารถนาร้อนรนขึ้นที่จะรับรู้ความจริงและความรักที่พระเป็นเจ้าทรงเผยให้เราทราบ. พระคริสตเจ้าเองทรงหยั่งดูจิตใจของมนุษย์และทรงนำเขามาถึงความสว่างของพระเป็นเจ้า โดยตรัสสนทนากับเขาอย่างฉันเพื่อนมนุษย์จริง ๆ; ในทำนองเดียวกัน ศิษย์ของพระองค์ซึ่งดื่มด่ำด้วยพระจิตต้องรู้จักมนุษย์ที่ตนดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันและสนทนาสังสรรค์กับเขา เพื่อเขาจะได้รู้ในการสนทนากันอย่างจริงใจและอดทนด้วยว่า พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยดีจ่ายแจกพระคุณอันเลอเลิศอะไรแก่ชนชาติต่าง ๆ บ้าง; ในขณะเดียวกันต้องพยายามใช้ความสว่างจากข่าวดีเรื่องพระคริสตสอดส่องดูพระคุณเหล่านี้ ช่วยให้หลุดพ้นและนำกลับมาอยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าพระผู้ไถ่.
ต้องมีเมตตาอยู่ช่วยผู้อื่น
๑๒.
คริสตชนที่อยู่ในกลุ่มชนต่าง ๆ ต้องมีความรักแบบเดียวกับที่พระเป็นเจ้าทรงรักเรา พระองค์นั้นทรงปรารถนาให้เรารักกันและกันด้วยความรักอย่างเดียวกัน (เทียบ ๑ ยน. ๔:๑๑). ความรักแบบคริสตชนแผ่คลอบคลุมไปถึงมนุษย์ทุกคนอย่างแท้จริงโดยไม่เลือกชาติ ศาสนา หรือ ฐานะทางสังคม และไม่หวังจะได้ประโยชน์หรือบำเหน็จแต่อย่างใด. พระเป็นเจ้าทรงรักเราด้วยความรักที่ให้เปล่า; เช่นเดียวกัน เวลาประกอบเมตตากิจสัตบุรุษต้องนึกถึงแต่ตัวคนที่จะช่วยเท่านั้น. พระคริสตเจ้าทรงตระเวนไปทุกหมู่บ้านและหัวเมือง ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บและความทุพพลภาพทุกชนิด เป็นการแสดงว่าอาณาจักรของพระเป็นเจ้ามาถึงแล้ว (เทียบ มธ. ๙:๓๕ และต่อไป; กิจ ๑๐:๓๘). เช่นเดียวกัน พระศาสนจักรทำการติดต่อกับมนุษย์ไม่ว่าอยู่ในฐานะอะไร โดยใช้ลูกของพระศาสนจักรไปหาเขา. พระศาสนจักรยังติดต่อ โดยเฉพาะกับคนจนและคนทนทุกขทรมาน แล้วทำการสละพลีตนเพื่อเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ (เทียบ ๒ คร. ๑๒:๑๕). พระศาสนจักรร่วมทุกข์ร่วมสุข รู้ความใฝ่ฝันและปัญหาชีวิตของคนเหล่านี้ ร่วมทุกข์กับเขาเวลาทุรนทุรายใกล้จะตาย. สำหรับผู้ที่แสวงหาความสงบสุข พระศาสนจักรใคร่สนองตามความต้องการของเขา โดยเชิญให้มาสนทนาสังสรรค์กันอย่างฉันพี่น้อง แล้วนำความสงบสุขและความสว่างจากพระวรสารมาให้แก่เขา.
ฉะนั้นคริสตชนต้องทำงานและต้องร่วมมือกับคนอื่น ๆ ทั่วไป
เพื่อจัดงานเศรษฐกิจและงานสังคมขึ้นอย่างถูกต้อง ยังต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษอุทิศตนให้แก่การอบรมเด็กและเยาวชนโดยอาศัยโรงเรียนทุกประเภทเป็นเครื่องมือ อันว่าโรงเรียนต่าง ๆ นั้นเราถือเป็นเครื่องมือวิเศษมิใช่สำหรับอบรมและกล่อมเกลาเยาวชนคริสตชนเท่านั้น แต่ยังต้องถือเป็นการรับใช้อันมีค่าสูงสำหรับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะสำหรับชาติต่าง ๆ ที่กำลังเจริญพัฒนาเพื่อเชิดชูศักดิ์ศรีมนุษย์และเตรียมให้เกิดสภาพที่เหมาะแก่มนุษย์มากยิ่งขึ้น.
นอกจากนี้คริสตชนต้องมีส่วนร่วมในความพยายามของชาติต่าง ๆ ที่อุตส่าห์ปรับสภาพการดำรงชีวิตให้ดีขึ้น
กับอุตส่าห์ทำให้มีสันติภาพมั่นคงในโลก โดยทำสงครามกับความหิว ความโง่ ไม่มีความรู้ และโรคภัยไข้เจ็บ. ในงานที่กล่าวนี้สัตบุรุษต้องปรารถนาอย่างร้อนรนที่จะทำการเสียสละอย่างฉลาดช่วยงานที่ส่งเสริมโดยสถาบันเอกชนและสาธารณะ รัฐบาล องค์การระหว่างชาติ หมู่คณะต่าง ๆ ที่เป็นคริสตชนและบรรดาศาสนาที่มิใช่คริสตศาสนา.
แต่พระศาสนจักรไม่ปรารถนาเข้าไปยุ่งเกี่ยวในการปกครองบ้านเมืองในโลกนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น.
พระศาสนจักรไม่ต้องการอะไรอื่นนอกจากได้ชื่อว่าเป็นผู้รับใช้มนุษย์ทั้งหลายด้วยความรักและการบริการอย่างซื่อสัตย์อาศัยความช่วยเหลือของพระเป็นเจ้า (เทียบ มธ. ๒๐:๒๖,๒๓:๑๑).
ศิษย์ของพระคริสตเจ้าเมื่อรวมอยู่กับมนุษย์อย่างใกล้ชิดในชีวิตและเวลาทำงาน
ย่อมหวังจะเป็นองค์พยานประกาศพระคริสตเจ้าแก่เขาอย่างแท้จริงและจะทำงานเพื่อความรอดของเขาแม้ในที่ที่จะประกาศพระคริสตเจ้าอย่างเต็มที่ไม่ได้ เพราะคริสตชนไม่แสวงหาความก้าวหน้าและความเจริญในด้านวัตถุแท้ ๆ ของมนุษย์ แต่หากตั้งใจจะส่งเสริมศักดิ์ศรีและความสามัคคีฉันพี่น้องกับเขา โดยสอนข้อความจริงทางด้านศาสนาและศีลธรรมซึ่งพระคริสตเจ้าทรงแนะนำชี้แจงมาแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดทางให้ก้าวเป็นขั้น ๆ ไปหาพระเป็นเจ้าดีขึ้น. ด้วยประการฉะนี้แหละ คริสตชนช่วยมนุษย์ให้บรรลุถึงความรอดโดยรักพระเป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์ และรหัสธรรมของพระคริสตเจ้าก็เริ่มจะฉายแสงคือ ให้รหัสธรรมนี้ มนุษย์คนใหม่ซึ่งสร้างขึ้นคล้ายพระเป็นเจ้า (เทียบ อฟ. ๔:๒๔) ได้ปรากฏขึ้นและในรหัสธรรมนี้ ความรักของพระเป็นเจ้าเผยออกมาให้เราเห็น.
|