หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พระธรรมนูญ พระสมณกฤษฎีกาและ
คำแถลงแห่งสภาสังคายนา  เล่มที่ 5

บทที่  1 : หลักคำสอน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 พระสมณกฤษฎีกาว่าด้วยงานธรรมฑูตแห่งพระศาสนจักร

แผนการของพระบิดา

๒. ขณะที่เดินทางอยู่ในโลกนี้  พระศาสนจักรมีลักษณะเป็นธรรมทูตอยู่ในตัว เพราะถือกำเนิดมาจากภารกิจของพระบุตรและพระจิตตามแผนการของพระบิดา.

แผนการนี้สืบเนื่องมาจาก  “ความรักที่เป็นต้นกำเนิด” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สืบเนื่องมาจากความรักของพระบิดา.  โดยที่พระบิดาเป็นต้นที่ไม่มีต้น พระบุตรจึงเกิดจากพระองค์และพระจิตก็สืบเนื่องมาจากพระองค์ทางพระบุตร;  พระบิดานั้นได้ทรงสร้างเรามาโดยพระทัยเสรีเพราะพระทัยดีและกรุณาอย่างล้นเหลือ และยังทรงเรียกเรามาให้มีส่วนในชีวิตและพระเกียรติมงคลกับพระองค์;  พระองค์ได้ทรงแสดงพระเมตตาต่อเราอย่างพระทัยกว้างขวาง และยังไม่ทรงหยุดยั้งที่จะแสดงเช่นนั้นต่อไป จนพระองค์ซึ่งเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในที่สุดก็กลับกลายเป็น “ทุกสิ่งแก่ทุกคน” (๑ คร. ๑๕:๒๘)  โดยประทานพระเกียรติของพระองค์และความสุขของเราให้พร้อมกัน. พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยเรียกมนุษย์ทั้งหลายให้มามีส่วนในชีวิตของพระองค์มิใช่เป็นคน ๆ โดยไม่เกี่ยวโยงถึงกันและกันเท่านั้น  แต่ยังพอพระทัยรวมมนุษย์ทั้งหลายให้เป็นประชากร ซึ่งในประชากรนั้นบรรดาบุตรของพระองค์ที่อยู่กระจัดกระจายกันจะได้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (เทียบ ยน. ๑๑:๕๒).

ภารกิจของพระบุตร

๓. อันแผนการทั่วไปของพระเป็นเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ชาติให้รอดนี้มิใช่สำเร็จไปโดยวิธีเหมือนอย่างลับ ๆ ในวิญญาณของมนุษย์  หรือโดยความดำริริเริ่มแม้ที่ศรัทธา  ซึ่งอาศัยความดำริริเริ่มที่กล่าวนี้ มนุษย์แสวงหาพระเป็นเจ้าโดยหลายวิธี เพื่อบางทีจะบรรลุถึงและพบพระองค์แม้ว่าพระองค์ไม่อยู่ห่างไกลจากเราแต่ละคน (เทียบ กจ. ๑๗:๒๗) เพราะความดำริริเริ่มเหล่านี้ต้องได้รับการแนะนำและดัดแปลง แม้ว่าโดยพระดำริอันเมตตาของพระญาณสอดส่องของพระเป็นเจ้า  บางครั้งเราเอาจะถือเป็นการมุ่งไปหาพระเจ้าเที่ยงแท้หรือเป็นการเตรียมรับข่าวดีก็ตาม.  เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติสุข  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเพื่อกระชับความร่วมสนิทกับพระองค์ เพื่อตั้งภราดรภาพขึ้นในระหว่างมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาป พระเป็นเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะเข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ของมนุษย์โดยวิธีใหม่และเด็ดขาด  โดยทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเรา  เพื่อฉุดเราให้พ้นจากอำนาจของความมืดและของซาตาน  (เทียบ คส. ๑:๑๓; กจ:๑๐:๓๘)  และทำให้โลกกลับคืนดีกับพระองค์  (เทียบ ๒ คธ. ๕:๑๙)  โดยพระบุตร  พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งมาพระบุตรองค์นี้พระองค์ทรงตั้งให้เป็นทายาทรับทุกสิ่งเพื่อจะได้บูรณะทุกสิ่งขึ้นในพระบุตร (เทียบ อฟ. ๑:๑๐)

สิ่งใดที่ครั้งหนึ่งพระคริสตเจ้าทรงประกาศเทศนาหรือกระทำในตัวพระองค์เพื่อความรอดของมนุษยชาติ สิ่งนั้นจึงต้องประกาศและแพร่ไปจนสุดแดนพิภพ (กจ. ๑:๘)  โดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเลม (เทียบ ลก. ๒๔:๔๗)  ดังนี้สิ่งที่ครั้งหนึ่งได้กระทำเพื่อความรอดของทุกคนจะบังเกิดผลสำหรับทุกคนตลอดเวลาทุกยุคสมัย.

ภารกิจของพระจิต

๔. แต่เพื่อทำการเรื่องนี้ให้สำเร็จลุล่วงไป  พระคริสตเจ้าทรงส่งพระจิตจากพระบิดามาประกอบกิจการความรอดภายในวิญญาณและกระตุ้นให้พระศาสนจักรแพร่ขยายออกไป.  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระจิตได้เริ่มดำเนินการในโลกแล้วก่อนที่พระคริสตเจ้าจะได้รับพระเกียรติ. อย่างไรก็ตามในวันพระจิตตาคม  พระจิตเสด็จมาเหนือบรรดาสานุศิษย์เพื่อประทับอยู่กับเขาตลอดไป (เทียบ ยน. ๔:๑๖).  พระศาสนจักรสำแดงตนอย่างเปิดเผยต่อหน้าฝูงชน. การเผยแพร่ข่าวดีเริ่มด้วยการประกาศ. เวลานั้นมีการแย้มให้รู้ล่วงหน้าถึงการที่ชนชาติต่าง ๆ จะร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวโดยมีความเชื่อเป็นสากลอย่างเดียวกันโดยทางพระศาสนจักรแห่งพันธสัญญาใหม่ซึ่งพูดทุกภาษา เข้าใจและรวมทุกภาษาไว้ในความรัก และดังนี้ก็เท่ากับเอาชนะการแตกแยกที่หอบาเบลได้.  “กิจการของพวกอัครธรรมฑูต” เริ่มในวันพระจิตตาคม เหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงปฏิสนธิเมื่อพระจิตเสด็จมาเหนือพระนางพรหมจารีมารีย์และเหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงได้รับการดลใจให้เริ่มทำการประกาศเทศนาเมื่อพระจิตเสด็จลงมาเหนือพระองค์ขณะกำลังภาวนา.

พระคริสตเจ้าพระองค์เอง ก่อนที่จะสมัครพระทัยพลีพระชนม์ชีพอุทิศแก่โลก ทรงจัดระเบียบการประกาศเทศนาและสัญญาจะส่งพระจิตมา  ในแบบที่ว่าการประกาศเทศนากับการส่งพระจิตมาทั้งสองอย่างนี้ต้องเป็นคู่กันไปเพื่อประกอบงานแห่งความรอดเป็นผลดีในที่ทั่วไปและเสมอไป.  ตลอดเวลาทุกยุคทุกสมัย พระจิตทรง “เป็นผู้ทำให้พระศาสนจักรทั้งมวลเป็นอันหนึ่งอันเดียวในการร่วมสนิทกันและในการปฏิบัติงาน  และเป็นผู้ประทานพระคุณฝ่ายพระฐานานุกรมและพระคุณพิเศษแก่พระศาสนจักร” ทำให้ระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ของพระศาสนจักรมีชีวิตชีวาประหนึ่งเป็นวิญญาณ  และดลบันดาลให้ดวงใจของสัตบุรุษมีจิตตารมณ์ธรรมทูตแบบเดียวกับที่ได้กระตุ้นองค์พระคริสตเจ้าเอง.  บางครั้งยังเห็นได้ชัดว่า พระจิตเสด็จมาก่อนการปฏิบัติงานแพร่ธรรม เหมือนดังที่พระองค์ไม่เคยขาดที่จะประทับอยู่เวลาปฏิบัติงานและนำการปฏิบัติงานนั้นด้วยวิธีต่าง ๆ.

พระคริสตเจ้าทรงส่งพระศาสนจักรมา

๕. เมื่อเริ่มประกาศเทศนา  พระเยซูเจ้า “ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัยจะเรียกมาหาพระองค์และได้ทรงตั้งสิบสองคนเป็นผู้อยู่ร่วมกับพระองค์  และเพื่อส่งเขาไปประกาศเทศนา”  (มก. ๓:๑๓; เทียบ มธ. ๑๐: ๑–๔๒). ดังนี้บรรดาอัครธรรมทูตจึงเป็นดังเชื้อของอิสราแอลใหม่ และในขณะเดียวกันเป็นต้นกำเนิดของพระฐานานุกรมอันศักดิ์สิทธิ์.  หลังจากนั้นเมื่อสิ้นพระชนม์และกลับฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาทำให้รหัสธรรมแห่งความรอดและการฟื้นฟูโลกเป็นอันสำเร็จไปในพระองค์แล้วพระเยซูเจ้าผู้ได้รับมอบอำนาจทุกอย่างทั้งในสวรรค์และแผ่นดิน (เทียบ มธ. ๒๘:๑๘) ทรงตั้งพระศาสนจักรให้เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้รอดก่อนที่จะถูกยกไปยังสวรรค์ (เทียบ กจ. ๑:๑๑). พระบิดาทรงส่งบรรดาอัครธรรมทูตไปทั่วโลกฉันนั้นโดยรับสั่งว่า “ฉะนั้นพวกท่านจงไปสอนชาติต่าง ๆ ให้เป็นศิษย์ ล้างบาปเขา เดชะพระนามพระบิดาและพระบุตรและพระจิต และสอนเขาให้ถือตามที่เราได้สั่งท่านทุกอย่าง” (มธ. ๒๘:๑๙…)  “ท่านจงไปทั่วพิภพประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งปวง. ผู้ใดเชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอด  ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกลงโทษ” (มก. ๑๖:๑๕…). หน้าที่ของพระศาสนจักรที่ต้องเผยแพร่ความเชื่อและความรอดที่พระคริสตเจ้าทรงนำมา ก็สืบเนื่องมาจากข้อนี้เอง  ประการหนึ่งก็เพราะคำสั่งสอนอันชัดเจนเด็ดขาด ซึ่งคณะพระสังฆราชอันมีพระสงฆ์เป็นผู้ช่วย โดยร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้สืบตำแหน่งต่อจากนักบุญเปโตรนายชุมพาบาลสูงสุดของพระศาสนจักรได้รับจากบรรดาอัครธรรมทูต อีกประการหนึ่งก็เพราะน้ำชุบชีวิตซึ่งพระคริสตเจ้าทรงถ่ายเทถึงสมาชิกของพระองค์ “เนื่องจากพระองค์พระวรกายทั้งหมดจึงประสานสัมพันธ์อย่างสนิทสนม  อาศัยข้อต่าง ๆ ทุกข้อ ซึ่งทำหน้าที่อย่างเรียบร้อยตามความเหมาะสมของส่วนต่าง ๆ ดังนี้  ร่างกายก็เติบโตและเสริมสร้างตนเองขึ้นในความรัก (อฟ. ๔:๑๖) ฉะนั้นภารกิจของพระศาสนจักรจึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยการที่พระศาสนจักร  เมื่อปฏิบัติตามคำสั่งของพระคริสตเจ้าและมีพระหรรษทานแห่งพระจิตกับความรักกระตุ้น  ก็อยู่ช่วยมนุษย์ทุกคนและชาติทุกชาติด้วยการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่เพื่อนำเขาไปสู่ความเชื่อ  ความเป็นอิสระและสันติสุขของพระคริสตเจ้า ด้วยตัวอย่างของการดำรงชีวิตและการเทศน์ก็ดี ด้วยศีลศักดิ์สิทธิ์และวิธีการอื่น ๆ ที่ประสาทพระหรรษทานก็ดี  จนพระศาสนจักรเปิดอ้าให้เขาเหมือนเป็นทางอันเสรีและปลอดภัยที่จะมีส่วนในรหัสธรรมของพระคริสตเจ้า.

ภารกิจอันนี้ดำเนินภารกิจของพระคริสตเจ้าต่อไป และตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ก็เป็นขยายภารกิจของพระคริสตเจ้าเองซึ่งพระเป็นเจ้าทรงส่งมาประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากจน.  ฉะนั้นโดยการกระตุ้นของพระจิต  พระศาสนจักรต้องเดินไปทางเดียวกับที่พระคริสตเจ้าเองทรงดำเนินมาแล้ว  ถือทางแห่งความยากจน ความเชื่อฟัง การรับใช้และการพลีตนจนถึงแก่ความตาย  ซึ่งความตายนั้นพระองค์ทรงชนะด้วยการกลับฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาเพราะสิ่งที่ยังขาดอยู่แก่การรับทรมานของพระคริสตเจ้าเพื่อประโยชน์แห่งพระกายของพระองค์อันได้แก่พระศาสนจักรนั้น (เทียบ กส. ๑:๒๔)  อัครธรรมทูตทุกองค์ก็ทำให้ครบสมบูรณ์ด้วยการสู้ทนความทุกข์ลำเค็ญและทรมานลำบากเป็นอันมากและเดินไปพร้อมกับความหวังเช่นนี้แหละ. บ่อยครั้งโลหิตของคริสตชนได้เป็นพืชพันธุ์ทำให้เกิดคริสตชนสืบไป.

งานธรรมทูต

๖. อันว่าภาระหน้าที่นี้ คณะสังฆราชซึ่งมีผู้สืบตำแหน่งต่อจากนักบุญเปโตรเป็นประมุขต้องปฎิบัติ  โดยพระศาสนจักรทั่วไปต้องสวดภาวนาอุทิศและร่วมมือด้วย.  นับเป็นภาระหน้าที่แต่อันเดียวและเหมือนกันไม่ว่าในที่ใดและในสภาวการณ์อย่างใด  แม้ว่าจะไม่ปฏิบัติเป็นแบบเดียวกันเนื่องจากสภาพเหตุการณ์แวดล้อม. เพราะฉะนั้นความแตกต่างซึ่งจำเป็นต้องรับว่ามีอยู่ในงานของพระศาสนจักรนั้น มิใช่เกิดขึ้นเพราะภารกิจของพระศาสนจักรมีลักษณะภายในเป็นเช่นนั้น  แต่เพราะต้องประกอบภารกิจนั้นในภาวการณ์ที่ไม่เหมือนกัน.

ภาวการณ์เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นโดยสุดแล้วแต่พระศาสนจักรชนชาติต่าง ๆ หมู่ชนและคนที่มีธรรมทูตไปถึง  เพราะพระศาสนจักรนั้นแม้ว่ามีเครื่องมือความรอดอย่างครบถ้วนและพร้อมมูล ก็ไม่ปฏิบัติการและจะปฏิบัติการโดยใช้เครื่องมือทั้งหมดเสมอไปและโดยฉับพลันทันทีหาได้ไม่  แต่เริ่มทำเป็นขั้น ๆ เพื่อพยายามนำแผนการของพระเป็นเจ้าให้บรรลุถึงความสำเร็จ. ยิ่งกว่านั้น บางทีเมื่อเริ่มต้นอย่างดีแล้ว  พระศาสนจักรจำใจต้องถอยหลังหรืออย่างน้อยหยุดอยู่ในสภาพทำได้ส่วนหนึ่งหรือยังไม่เพียงพอ.  ในส่วนที่เกี่ยวกับมนุษย์  หมู่ชนและชาติต่าง ๆ นั้นพระศาสนจักรย่อมติดต่อและเข้าไปหาเป็นขั้น ๆ แล้วจึงรับเขาเข้ามาในพระศาสนจักรอย่างสมบูรณ์ กิจกรรมเองก็ดี หรือวิธีการที่ดัดแปลงก็ดี  ต้องปรับให้เข้ากับสภาวการณ์หรือฐานะแต่ละอย่าง.

งานริเริ่มพิเศษซึ่งได้แก่การที่ผู้ประกาศข่าวดีที่พระศาสนจักรส่งไปทั่วโลกทำหน้าที่ประกาศข่าวดีและปลูกฝังพระศาสนจักรลงในหมู่ชาติหรือหมู่ชนต่าง ๆ ที่ยังไม่เชื่อถึงพระคริสตเจ้านั้น โดยทั่วไปเราเรียกกันว่า “การส่งธรรมทูตไป”  การส่งธรรมทูตนี้หมายถึงงานแพร่ธรรม ซึ่งโดยปรกติปฏิบัติอยู่ในแผ่นดินที่กำหนดและรับรองโดยพระสันตะสำนัก.
จุดหมายโดยเฉพาะของงานแพร่ธรรมก็คือ ประกาศข่าวดีและปลูกฝังพระศาสนจักรลงในหมู่ชาติหรือหมู่ชนที่พระศาสนจักรยังมิได้หยั่งรากลงไป. ขอให้มีกลุ่มคริสตชนของคนพื้นเมืองโดยเฉพาะที่เกิดจากพระวาจาของพระเป็นเจ้าและตั้งขึ้นอย่างสมควร เจริญงอกงามทั่วไปในโลกและสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยกำลังของตนเอง  กับมีความแก่กล้าเข้มแข็งพอสมควร;  ขอให้กลุ่มคริสตชนเหล่านี้ซึ่งมีฐานานุกรมของตนเองร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับหมู่ประชาสัตบุรุษกับมีเครื่องมืออันจำเป็นสำหรับเจริญชีวิตแบบคริสตชนอย่างสมบูรณ์  มีส่วนในการทำคุณประโยชน์แก่พระศาสนจักรทั่วไป  แต่วิธีสำคัญสำหรับปลูกฝังพระศาสนจักรก็คือการประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า. การที่พระองค์ทรงส่งสานุศิษย์ไปประกาศข่าวดีทั่วโลก ก็เพื่อให้มนุษย์ได้รับการเกิดใหม่ด้วยพระวาจาของพระเป็นเจ้า (เทียบ ๑ ปต. ๑:๒๓)  แล้วรับศีลล้างบาปเข้าในพระศาสนจักร  ซึ่งในฐานะเป็นพระกายแห่งพระวจนาถ  ได้รับการเลี้ยงและมีชีวิตอยู่ด้วยพระวาจาของพระเป็นเจ้า และด้วยปังแห่งศีลมหาสนิท (เทียบ กจ. ๒:๔๒)

ในงานธรรมทูตของพระศาสนจักร บางครั้งก็เกิดสภาพการณ์ต่าง ๆ ขึ้นอย่างปะปนสับสนกัน  คือ ชั้นแรกสภาพการณ์ในตอนเริ่มต้นหรือปลูกฝัง แล้วต่อไปสภาพการณ์ในตอนใหม่หรือยังเยาว์อยู่. เมื่อปฏิบัติงานทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว ไม่หมายได้รับการอบรมแล้วมีหน้าที่ต้องทำงานธรรมทูตต่อไป  และต้องนำข่าวดีไปประกาศแก่บรรดาผู้ที่ยังอยู่ภายนอก.

อนึ่ง  มีอยู่บ่อย ๆ ที่บรรดากลุ่มชนซึ่งพระศาสนจักรอยู่ร่วมด้วยนั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเพราะเหตุต่าง ๆ และสภาพการณ์ใหม่ ๆ อาจเกิดขึ้นได้.  ในกรณีเช่นนั้น  พระศาสนจักรต้องพิจารณาว่า สถานการณ์เช่นนั้นจะเรียกร้องให้มีการแพร่ธรรมใหม่หรือไม่ นอกจากนั้นบางทีกรณีแวดล้อมก็อยู่ในลักษณะที่ไม่สมควรจะเสนอให้ประกาศข่าวดีโดยตรงและในทันทีได้ชั่วระยะหนึ่ง. เมื่อนั้นแหละธรรมทูตสามารถและต้องมีความเพียรความฉลาดและในขณะเดียวกันต้องมีความไว้ใจมากอย่างน้อยต้องประกาศยืนยันถึงความรักและการแสดงพระทัยกรุณาของพระคริสตเจ้า ซึ่งเท่ากับเป็นการเตรียมทางให้พระองค์และจะทำให้รู้สึกว่าพระองค์มาประทัยอยู่กับเขา.

ดังนี้จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่า  งานธรรมทูตสืบเนื่องมาจากธรรมชาติของพระศาสนจักรเอง แผ่แพร่ความเชื่อที่ช่วยให้มนุษย์รอด ทำให้เอกภาพสากลสำเร็จไปโดยแผ่ขยายให้กว้างออก;  ลักษณะสืบเนื่องมาจากอัครสาวกทำให้พระศาสนจักรมีกำลังเข้มแข็ง; พระศาสนจักรนำความหมายของการที่พระฐานานุกรมเป็นหมู่คณะกันมาใช้ในทางปฏิบัติ; พระศาสนจักรยืนยันแผ่ขยายและประสาทความศักดิ์สิทธิ์.  ดังนี้งานธรรมทูตในท่ามกลางนานาชาติจึงต่างกับงานอภิบาลสัตบุรุษ ทั้งต่างกับงานฟื้นฟูเอกภาพของคริสตชน.  อย่างไรก็ตาม งานทั้งสองประเภทนี้เกี่ยวโยงกับงานแพร่ธรรมของพระศาสนจักรอย่างใกล้ชิดมาก กล่าวคือ  การแตกแยกร้าวฉานของคริสตชนย่อมเป็นผลร้ายต่อการประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทุกรูปทุกนามซึ่งเป็นงานศักดิ์สิทธิ์ยิ่งและเป็นการปิดทางมิให้หลาย ๆ คนเข้ามาถือความเชื่อ. เนื่องจากจำเป็นต้องส่งธรรมทูตไปแพร่ธรรม ฉะนี้ผู้ได้รับศีลล้างบาปแล้วทุกคนจึงควรรวมเป็นฝูงแกะฝูงเดียวเพื่อเป็นองค์พยานประกาศ     คริสตเจ้าแก่นานาชาติโดยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน.  ถ้าเขายังไม่สามารถเป็นองค์พยานโดยมีความเชื่ออย่างเดียวกันอย่างน้อยก็ให้มีความนับถือยกย่องและมีความรักต่อกันและกัน.

งานธรรมทูตมีเพื่ออะไรและจำเป็นอย่างไร?

๗. เหตุผลของงานธรรมทูตนี้เกิดจากน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า “ซึ่งทรงปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนรอดและมารู้ความจริงเพราะว่ามีพระเป็นเจ้าเดียวและคนกลางคนเดียวระหว่างพระเป็นเจ้ากับมนุษย์ คือ พระคริสตเยซูในสภาพมนุษย์  ผู้มอบพระองค์เองเป็นค่าไถ่มนุษย์ทั้งหลาย” (๑ ทธ. ๒:๔-๖)  และ “ไม่มีความรอดในบุคคลใดอื่น” (กจ. ๔:๑๒). ฉะนั้นทุกคนต้องหันไปหาพระคริสตเจ้าที่รู้จักด้วยการประกาศเทศนาของพระศาสนจักร  และต้องรับศีลล้างบาปเข้าในพระศาสนจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์  ด้วยว่าพระคริสตเจ้าเอง  “เมื่อทรงสอนเป็นถ้อยคำชัดเจนเด็ดขาดว่าจำเป็นต้องมีความเชื่อและรับศีลล้างบาปนั้น” (เทียบ มก. ๑๖:๑๖;ยน. ๓:๕)  ได้ทรงยืนยันพร้อมกันด้วยว่า จำเป็นต้องมีพระศาสนจักรซึ่งมนุษย์เข้าไปด้วยการรับศีลล้างบาปเหมือนกับทางเข้าโดยทางประตูฉะนั้น. เหตุฉะนี้มนุษย์จะเอาตัวรอดไม่ได้ ถ้ารู้ว่าพระเป็นเจ้าได้ทรงตั้งพระศาสนจักรขึ้นโดยพระเยซูคริสตเจ้า และให้เป็นสถาบันจำเป็นสำหรับความรอด แล้วไม่ยอมเข้าหรือไม่ยอมอยู่ในพระศาสนจักรนั้นตลอดไป” (สังฆธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร มาตรา ๑๔). สำหรับมนุษย์บางคนที่ไม่รู้ข่าวดีโดยไม่ใช่ความผิดของเขา แม้ว่าพระเป็นเจ้าทรงสามารถใช้วิธีที่พระองค์รู้ นำเขามาถือความเชื่อซึ่งจำเป็นต้องมีเพื่อเป็นที่สบพระทัยพระเป็นเจ้าได้ (ฮบ. ๑๑:๖) พระศาสนจักรก็มีความจำเป็น (เทียบ ๑ คร. ๙:๑๖)  และขณะเดียวกันก็มีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ต้องประกาศข่าวดี  ด้วยเหตุนี้งานธรรมทูตของพระศาสนจักรไม่ว่าวันนี้หรือไม่ว่าเวลาใดยังคงทำอย่างเข้มแข็งและถือว่าจำเป็นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงเลย.

โดยงานพระธรรมทูตนี้แหละ  พระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้ารวบรวมกำลังและใช้เพื่อทำให้ตนเจริญเติบโตยิ่ง ๆ ขึ้น (เทียบ อฟ. ๔:๑๑–๑๖). สมาชิกในพระศาสนจักรจะทำการแพร่ธรรมนี้เพราะรักพระเป็นเจ้าและปรารถนาจะให้มนุษย์ทุกคนมีส่วนในสมบัติฝ่ายวิญญาณทั้งในชีวิตนี้และในชีวิตหน้า.

ที่สุดถ้ามนุษย์ต้อนรับงานความรอดโดยความสำนึกอย่างเต็มที่คืองานซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงทำสำเร็จไปในองค์พระคริสตเจ้าก็ถือว่าพระเป็นเจ้าทรงได้รับพระเกียรติอย่างสมบูรณ์เนื่องจากงานธรรมทูต. แผนการของพระเป็นเจ้าซึ่งพระคริสตเจ้าทรงรับใช้โดยนบนอบเชื่อฟังและเพราะทรงเห็นแก่เกียรติมงคลของพระบิดาที่ทรงส่งพระองค์มานั้น  ก็สำเร็จไปด้วยงานธรรมทูตเช่นนี้แหละ.  ขอให้มนุษยชาติทั้งสิ้นตั้งขึ้นเป็นประชากรชาติเดียวของพระเป็นเจ้ารวมอยู่ในพระกายทิพย์อันเดียวของพระคริสตเจ้าแล้วสร้างขึ้นเป็นพระวิหารหลังเดียวของพระจิต.  เรื่องนี้เมื่อทำให้เกิดความสามัคคีฉันพี่น้องแล้ว ก็ตรงกับความปรารถนาในส่วนลึกของมนุษย์ทุกคน.  ที่สุดแผนการของพระเป็นเจ้าซึ่งปั้นมนุษย์ตามพระฉายาและความละม้ายคล้ายกับพระองค์ ก็เป็นอันสำเร็จไปอย่างแท้จริง  เช่นนี้เมื่อบรรดาผู้ที่มีส่วนในธรรมชาติมนุษย์ พอเกิดใหม่ในพระ คริสตเจ้าด้วยอำนาจพระจิตและสะท้อนแสงพระเกียรติมงคลของพระบิดาพร้อมกันแล้ว (เทียบ ๒ คร. ๓:๑๘) จะกล่าวได้ว่า “พระบิดาแห่งข้าพเจ้าทั้งหลาย”

งานธรรมทูตในชีวิตและประวัติศาสตร์ของมนุษย์

๘. งานธรรมทูตมีความสัมพันะอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติและความใฝ่ฝันของมนุษย์เอง  เพราะเมื่อพระศาสนจักรแสดงองค์พระคริสตเจ้าก็เท่ากับเผยให้มนุษย์รู้ถึงความจริงเที่ยงแท้แห่งฐานะและกระแสเรียกเขาโดยตลอด  ค่าที่พระคริสตเจ้าทรงเป็นหลักและเป็นแบบของมนุษยชาติที่ฟื้นฟูใหม่ ดื่มด่ำด้วยความรักฉันพี่น้อง ความจริงใจ ความใฝ่สันติ ซึ่งทุกคนใฝ่ฝันถึง ; พระคริสตเจ้ากับพระศาสนจักร ซึ่งเป็นองค์พยานถึงพระองค์ด้วยการประกาศข่าวดี  ไม่ยอมถือเรื่องเชื้อชาติหรือเรื่องชาติแต่อย่างใดทั้งสิ้น และเพราะเหตุนี้ไม่ว่าพระคริสตเจ้าหรือพระศาสนจักรจะถูกถือเป็นคนต่างชาติในที่ใดหรือสำหรับใครก็ตามไม่ได้. พระคริสตเจ้าเองทรงเป็นความจริงและเป็นหนทางซึ่งการประกาศข่าวดีเผยให้ใคร ๆ รู้  โดยกรอกใส่หูของทุกคนซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ของพระคริสตเจ้าว่า “จงทำการใช้โทษบาปและเชื่อข่าวดีเถิด” (มก. ๑:๑๕). เนื่องจากผู้ที่ไม่เชื่อถือก็ถูกพิพากษาแล้ว (เทียบ ยน. ๓:๑๘)  พระวาจาของพระคริสตเจ้าจึงเป็นคำตัดสินและคำอภัยโทษ เป็นคำบอกให้ตายหรือให้มีชีวิต  เพราะที่เราบรรลุถึงชีวิตใหม่นั้นก็โดยทำลายของเก่าให้ตายเสีย. ที่กล่าวนี้ก่อนอื่นได้แก่ตัวบุคคลแก่ยังได้แก่ทรัพย์สินต่าง ๆ ในโลกนี้  ซึ่งถูกกาหมายพร้อม ทั้งด้วยบาปของมนุษย์และด้วยพรของพระเป็นเจ้า  “เพราะมนุษย์ทุกคนได้ทำบาปและสูญเสียสิริมงคลของพระเป็นเจ้า” (รม. ๓:๒๓).  ไม่มีใครหลุดพ้นจากบาปด้วยตนเองหรือด้วยกำลังความอุตสาหะของตนเอง  ไม่มีใครช่วยตัวให้พ้นจากความอ่อนแอ  ความอยู่โดดเดี่ยวและความเป็นทาสได้อย่างสิ้นเชิง แต่ทุกคนต้องการพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นแบบฉบับ เจ้านายผู้กอบกู้ผู้ช่วยให้รอด และพระผู้ประทานชีวิต.  ถ้าจะพูดตามความสัตย์จริงแล้ว ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แม้จะพิจารณาในทางโลกข่าวดีเรื่องพระคริสต์เป็นดุจเชื้อแห่งเสรีภาพและความเจริญก้าวหน้า  และยังเป็นดังเชื้อแห่งภารดรภาพ เอกภาพและสันติภาพเสมอ.  ฉะนั้นจึงเป็นการถูกต้องแล้วที่สัตบุรุษยกย่องพระองค์ถือเป็น “ผู้ที่นานาชาติคอยและพระผู้ไถ่ของเขา”

งานธรรมทูตมีลักษณะของเวลาก่อนสิ้นพิภพ

๙. ฉะนั้นเวลาของการปฏิบัติงานธรรมทูตจึงอยู่ในระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกกับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสตเจ้า: ในการเสด็จมาถึงครั้งที่สองนั้น พระศาสนจักรจะถูกรวบรวมเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเป็นเจ้า จากลมทั้งสี่ทิศดุจฟ่อนข้าวที่ถูกเกี่ยวเก็บเพราะก่อนที่พระองค์จะเสด็จมานั้นจะต้องประกาศข่าวดีให้ชนทุกชาติรู้ (เทียบ มก. ๑๓:๑๐).

งานธรรมทูตไม่ใช่อะไรอื่น และไม่เป็นอะไรน้อยกว่าการแสดงแผนการของพระเป็นเจ้า หรือการสำแดงพระองค์ หรือการทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จไปในโลกและในประวัติของโลก ในประวัตินั้นพระองค์ทรงทำให้ประวัติความรอดสำเร็จไปด้วยการใช้ธรรมทูตไปแพร่ธรรมด้วยการเทศนาและการประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ซึ่งมีศีลมหาสนิทเป็นศูนย์กลางและจุดสุดยอด.  งานแพร่ธรรมทำให้พระคริสตเจ้าองค์ความรอดมาสถิตประทับอยู่.  ความจริงและความดีงามใด ๆ ที่พบมีอยู่ในชีวิตต่าง ๆ เหมือนดังว่าพระเป็นเจ้าประทับอยู่อย่างลับ ๆ แล้วนั้น งานธรรมทูตก็ช่วยให้พ้นจากการปะปนชั่วช้าและคืนส่งให้แก่พระคริสตเจ้านายของตนผู้ทำลายอำนาจของปีศาจและหยุดยั้งความเลวร้ายหลายอย่างหลายแบบของอาชญากรรมต่าง ๆ. เพราะเหตุนี้ความดีใด ๆ ที่พบหว่านอยู่ในใจและสติปัญญาของมนุษย์หรือในจารีตประเพณีและวัฒนธรรมโดยเฉพาะของชาติต่าง ๆ นั้น มิใช่สูญหายไปเท่านั้น แต่ยังได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการเชิดชูจนถึงขั้นดีพร้อมเพื่อพระเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า เพื่อความอับอายของปีศาจและความสุขของมนุษย์.

ดังนี้งานธรรมทูตจึงมุ่งหน้าไปยังความสำเร็จสมบูรณ์เวลาสิ้นพิภพ  งานธรรมทูตนี้แหละจะพัฒนาประชากรของพระเป็นเจ้าให้เจริญจนถึงขนาดและเวลาที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ด้วยอำนาจของพระองค์ (เทียบ. กจ. ๑:๗) ตามที่มีกล่าวในเชิงทำนายแก่ประชากรนั้นว่า “จงขยายที่กางกระโจมของเจ้าให้กว้างออกไป จงคลี่เครื่องแขวนประดับกระโจมออกอย่างไม่ต้องเกรงใจ” (อสย. ๕๔:๒); งานแพร่ธรรมนี้แหละจะทำให้พระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้าเจริญเติบใหญ่จนถึงขนาดอายุเต็มที่ของพระคริสตเจ้า (เทียบ อฟ. ๔:๑๓) และจะทำให้พระวิหารฝ่ายจิตซึ่งมีการไหว้นมัสการพระเป็นเจ้าด้วยจิตใจและด้วยความสัตย์จริง (เทียบ ยน. ๔:๒๓) เติบโตและสร้างขึ้นบนรากฐานอันได้แก่บรรดาอัครธรรมทูตและประกาศก โดยมีพระคริสตเยซูเจ้าพระองค์เองเป็นหินมุม (อฟ. ๒:๒๐)