๗๓. การเมืองในปัจจุบันนี้
๑.
ในยุคนี้ เราสังเกตเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในโครงสร้างและระเบียบแบบแผนของชาติต่าง ๆ ด้วย. การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ซึ่งเป็นผลเกิดจากวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคมของชนชาติเหล่านั้น มีอิทธิพลเหนือชีวิตของประชาคมการเมืองเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ที่ทุกคนมีทั้งในการใช้เสรีภาพทางการเมือง ทั้งในการทำสาธารณประโยชน์ ตลอดจนในส่วนที่เกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองด้วยกันและระหว่างพลเมืองกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง.
๒. มนุษย์มีความสำนึกถึงศักดิ์ศรีของตนอย่างแก่กล้ายิ่งขึ้น ฉะนั้น ในส่วนต่างๆ ของโลกจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะรื้อฟื้นตั้งระเบียบการเมืองและกฎหมาย
เพื่อป้องกันสิทธิของบุคคลในชีวิต ประชาคมดียิ่งขึ้น เช่น สิทธิเสรีภาพที่จะชุมนุมกัน ปฏิบัติงานร่วมกัน แสดงความคิดเห็นและถือศาสนาได้ ทั้งในที่ส่วนตัวและในที่สาธารณะ ด้วยว่าการประกันสิทธิของบุคคลนั้นเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับให้ พลเมืองไม่ว่าเป็นคนๆหรือเป็นหมู่ๆมีส่วนร่วมในชีวิตและการบริหารงานของรัฐอย่างแข็งขันได้.
๓.
คนเป็นจำนวนมากคอยเฝ้าติดตามความเจริญทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคม กับทั้งมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีส่วนร่วมในการจัดประชาคมการเมืองมากยิ่งขึ้น. มโนธรรมของหลายๆคนมีความห่วงใยมากขึ้นที่จะรักษาสิทธิของชนกลุ่มน้อยในชาติใดชาติหนึ่ง แต่ก็ไม่ละเลยที่จะให้ชนกลุ่มน้อยนั้นถือพันธะของตนต่อประชาคมการเมืองด้วย นอกจากนี้ มนุษย์รู้จักเคารพผู้ที่ถือความคิดหรือศาสนาอื่นมากยิ่งขึ้นทุกวัน. ในขณะเดียวกัน มีการร่วมมือกันมากขึ้นในอันที่จะให้พลเมืองทุกคน ไม่ใช่ผู้มีอภิสิทธิ์บางคนเท่านั้นได้ใช้สิทธิที่เป็นของบุคคลนั้นอย่างแท้จริง.
๔.
แต่มนุษย์ประณามระบอบการปกครองไม่ว่าในแบบใดดังที่มีอยู่ในบางประเทศที่ขัดขวางเสรีภาพในทางการเมืองการถือศาสนา ทำให้คนหลาย ๆ คนต้องรับเคราะห์กรรมเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงและการประกอบอาชญากรรมทางการเมืองและทำให้การใช้อำนาจของเขาแทนที่จะเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมกลับเป็นประโยชน์แก่พรรคพวกบางคนหรือแก่ผู้ปกครองเอง.
๕.
เพื่อก่อตั้งชีวิตทางการเมืองที่เหมาะแก่มนุษย์อย่างแท้จริง ไม่มีอะไรดีกว่าพัฒนาความสำนึกภายในถึงความยุติธรรมความโอบอ้อมอารีและการรับใช้เพื่อสาธารณประโยชน์กับปลุกความรู้ตระหนักอย่างซึ้งว่า ประชาคมการเมืองมีลักษณะแท้จริงอย่างไร และอำนาจในบ้านเมืองนั้นมีจุดหมายอะไร ต้องใช้ให้ดีอย่างไร และมีขอบเขตแค่ไหน.
๗๔. ลักษณะและจุดหมายของประชาคมการเมือง
๑.
มนุษย์ครอบครัวและกลุ่มชนต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นประชาคมพลเมืองนั้น สำนึกว่าลำพังตนพวกเดียวไม่มีกำลังความสามารถจะก่อตั้งชีวิตที่สมลักษณะมนุษย์อย่างแท้จริงได้ กับมองเห็นความจำเป็นต้องมีประชาคมที่กว้างขวางกว่า และภายในประชาคมนั้นทุกคนต้องร่วมผนึกกำลังเข้าด้วยกันเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นเสมอ. เพราะเหตุนี้ เขาจึงตั้งประชาคมการเมืองขึ้นตามแบบต่าง ๆ กัน ดังนั้น ประชาคมการเมืองจึงมีอยู่เพื่อสาธารณประโยชน์. สาธารณประโยชน์นี้แหละทำให้ประชาคมการเมืองมีความหมาย และแสดงให้เห็นชัดว่าสมควรจะมีประชาคมการเมือง. ประชาคมการเมืองได้สิทธิเบื้องแรกของตนมาจากสาธารณประโยชน์นี้เอง. ส่วนสาธารณประโยชน์นั้นหมายความรวมถึงสภาพในชีวิตสังคมทั้งหมดซึ่งอำนวยให้มนุษย์ ครอบครัว และหมู่ชนบรรลุถึงความสมบูรณ์พูนสุขได้อย่างครบถ้วนและสะดวกยิ่งขึ้น.
๒.
แตต่คนที่มาประชุมกันตั้งเป็นประชาคมการเมืองนั้นมีจำนวนมากและเป็นคนต่างๆกัน เขาอาจมีความคิดเห็นไปหลายทางได้ ซึ่งก็เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว. ฉะนั้นเมื่อต่างคนคิดเห็นไป คนละทาง เพื่อไม่ให้ประชาคมการเมืองแตกแยกออกเป็นชิ้นๆ จำเป็นต้องมีอำนาจอันหนึ่งที่จะควบคุมพลังพลเมืองทุกคนให้มุ่งถึงสาธารณะประโยชน์ มิใช่แบบเครื่องจักรหรืออย่างบังคับกดขี่ แต่ก่อนอื่นหมดเป็นกำลังฝ่ายธรรมที่ขอพึ่งอำนาจเสรีภาพและความสำนึกถึงภาระหน้าที่ที่ได้รับ.
๓.
ฉะนั้น จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่า ประชาคมการเมืองและอำนาจในบ้านเมืองนั้นตั้งรากฐานอยู่บนธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นจึงมาจากระเบียบที่พระเป็นเจ้าทรงกำหนดไว้แล้ว. อย่างไรก็ดีการเลือกระบอบการเมืองกับการเลือกผู้ปกครองบ้านเมืองนั้นให้เป็นเรื่องที่พลเมืองทำโดยเสรี.
๔.
ในทำนองเดียวกัน การใช้อำนาจทางการเมือง ไม่ว่าในประชาคมหรือในสถาบันที่เป็นตัวแทนรัฐ ต้องทำอยู่ในกรอบของระเบียบศีลธรรมและเพื่อสาธารณประโยชน์ที่คิดไว้อย่างเข้มแข็ง โดยต้องถือตามระเบียบกฎหมายที่ได้ตั้งหรือจะตั้งขึ้นโดยชอบ. เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปฏิบัติดังนี้ พลเมืองมีพันธะโดยมโนธรรมจำต้องเชื่อฟัง. เรื่องนี้แหละที่แสดงให้เห็นความรับผิดชอบ ศักดิ์ศรี และความสำคัญของผู้ปกครองบ้านเมือง.
๕.
ถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำเกินอำนาจและกดขี่พลเมือง พลเมืองก็ยังต้องเชื่อฟังเท่าที่ต้องทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แต่ให้ถือเป็นการชอบที่เขาจะป้องกันสิทธิของตนและของพลเมืองด้วยกัน ต่อต้านการใช้อำนาจในทางที่ผิด โดยปฏิบัติอยู่ในขอบเขตที่กฎธรรมชาติแลกฎพระวรสารกำหนดไว้.
๖.
ส่วนวิธีการมั่นเหมาะที่ประชาคมการเมืองจะใช้สร้างตนเองกับควบคุมการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนั้น จะเป็นแบบต่างๆกันก็ได้ แล้วแต่ละลักษณะโดยเฉพาะของแต่ละชาติและความก้าวหน้าของประวัติศาสตร์ แต่ต้องใช้ประโยชน์สำหรับอบรมมนุษย์ให้เป็นคนเจริญ รักสันติและอารีอารอบต่อทุกคน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของวาติมนุษย์ทั้งมวล.
๗๕. การร่วมมือกันในกิจการบ้านเมือง
๑.
เป็นสิ่งที่ถูกต้องตรงกับลักษณะธรรมชาติของมนุษย์ทีเดียวที่จะจัดระเบียบทางการเมืองและกฎหมายที่อำนวยให้พลเมืองทุกคนโดยไม่เลือกหน้าและมากยิ่งขึ้นทุกที สามารถที่จะมีส่วนร่วมอย่างเสรีและอย่างแข็งขันในการตั้งประชาคมการเมืองให้มีรากฐานทางกฎหมายก็ดี ในการบริหารกิจการบ้านเมืองก็ดี ในการกำหนดขอบเขตและจุดหมายของสถาบันต่าง ๆ ก็ดี ตลอดจนในการเลือกผู้ปกครองบ้านเมืองด้วย. ฉะนั้น ขอให้พลเมืองทุกคนระลึกว่า ตนมีทั้งสิทธิและหน้าที่ต้องใช้การออกเสียงอย่างเป็นอิสระของตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม. พระศาสนจักรสรรเสริญและยกย่องงานของผู้ที่อุทิศตนทำกิจการบ้านเมืองและยอมรับภาระต่าง ๆ ในหน้าที่นี้เพื่อรับใช้มนุษย์.
๒.
ถ้าจะให้การร่วมมือของพลเมืองที่สำนึกในหน้าที่ เกิดผลดีในชีวิตการเมืองประจำวันแล้ว จำเป็นต้องมีระเบียบกฎหมายที่แน่นอน แบ่งหน้าที่และสถาบันต่าง ๆ ของอำนาจอย่างเหมาะสม ตลอดจนคุ้มครอบสิทธิต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพและโดยไม่ขึ้นแก่ใคร. ขอให้สิทธิของบุคคลทุกคนของครอบครัวและหมู่คณะต่าง ๆ ได้รับการรับรอง เคารพ และส่งเสริมเท่า ๆ กับหน้าที่ซึ่งพลเมืองทุกคนจำต้องถือ ในบรรดาหน้าที่ต่าง ๆ นั้น ต้องขอเตือนให้ระลึกถึงพันธะที่จะรับใช้รัฐในทางกำลังทรัพย์และจิตใจตามที่ต้องทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม. ผู้ปกครองบ้านเมืองถึงระวังอย่าขัดขวางกลุ่มครอบครัว กลุ่มสังคม กลุ่มวัฒนธรรม ตลอดจนองค์การและสถาบันต่าง ๆ ที่รองลงมาหรือกีดกันมิให้เขาทำกิจการอันชอบและเกิดผลดีได้ แต่ควรจะพยายามส่งเสริมเขาโดยเต็มใจและอย่างมีระเบียบ. ข้างฝ่ายพลเมืองไม่ว่าจะทำเป็นคน ๆ หรือเป็นหมู่ ๆ ก็พึงระวังอย่าให้อำนาจมากเกินไปแก่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรืออย่าขอความสะดวกหรือประโยชน์จากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมากเกินไปโดยไม่สมควร เพราะจะทำให้ความรับผิดชอบของบุคคล ครอบครัว และกลุ่มสังคมถอยลดลง.
๓.
เหตุการณ์แวดล้อมที่ยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้นในสมัยของเราบังคับให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองสอดแทรกเข้ามาในกิจการครอบครัวสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมบ่อยขึ้น เพื่อหาทางช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นให้พลเมืองและกลุ่มชนทำการเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่และมีอิสระ. ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดระเบียบสังคมฝ่ายหนึ่งกับความเป็นอิสระและความก้าวหน้าของบุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง อาจเข้าใจไปได้ปลายทางแล้วแต่ภาคและขีดความเจริญของชนชาติหนึ่ง ๆ. แต่ถ้าการใช้สิทธิถูกจำกัดไว้ชั่วขณะหนึ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ก็จะต้องปล่อยให้มีเสรีภาพโดยเร็วที่สุด เมื่อกรณีแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว. อย่างไรก็ตามต้องนับเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ถ้ารัฐบาลหันไปใช้ระบอบแบบรวมอำนาจหรือแบบเผด็จการซึ่งลบล้างทำลายสิทธิของบุคคลและของกลุ่มสังคม.
๔.
พลเมืองต้องมีความรักต่อปิตุภูมิอย่างซื่อสัตย์และด้วยจิตใจสูง ต้องไม่มีจิตใจคับแคบ หมายความว่า ในขณะเดียวกันให้คำนึงถึงประโยชน์ของครอบครัวมนุษย์ทั้งมวลซึ่งรวมเข้าชิดสนิทด้วยเครื่องผูกพันต่าง ๆ ระหว่างเชื้อชาติ ชนชาติและประชาชาติทั้งหลาย.
๕.
คริสตชนทุกคนต้องสำนึกถึงกระแสเรียกพิเศษและโดยเฉพาะที่ตกได้แก่เขาในประชาคมการเมือง ต้องเป็นตัวอย่างดีเด่นในเรื่องความสำนึกถึงหน้าที่และในเรื่องความเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ดังนี้ เขาก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการปฏิบัติว่า อำนาจกับเสรีภาพได้อย่างไร ความริเริ่มส่วนตัวเข้ากับการร่วมมือและความต้องการของสังคมทั้งหมดได้อย่างไร และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวซึ่งจำเป็นต้องมีนั้น เข้ากับความแตกต่างดันมีคุณได้อย่างไร. เกี่ยวกับการจัดระเบียบกิจการต่าง ๆ ในโลกนี้ คริสตชนต้องรับนับถือความคิดเห็นอันชอบของคนอื่น แม้จะขัดแย้งกัน และต้องเคารพพลเมืองที่รวมกันเป็นหมู่ป้องกันทัศนะความคิดเห็นของเขาโดยสุจริตใจ. ส่วนพรรคการเมืองต่าง ๆ นั้น มีหน้าที่ต้องส่งเสริมสิ่งที่เขาเห็นว่าจำเป็นต้องทำเพื่อสาธารณประโยชน์ แต่เขาจะถือว่าประโยชน์ส่วนตัวสำคัญกว่าสาธารณประโยชน์ไม่ได้เป็นอันขาด.
๖.
การอบรมหน้าที่พลเมืองและทางการเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับราษฎร และเป็นต้นสำหรับหนุ่มสาว. การอบรมที่กล่าวนี้ควรได้รับความเอาใจใส่ควบคุมอย่างกวดขันเพื่อให้พลเมืองทุกคนมีส่วนร่วมในประชาคมการเมือง ซึ่งเป็นความสามารถหรืออาจมีความสามารถเล่นการเมือง ซึ่งเป็นศิลปะยากแต่เป็นศิลปะมีเกียรติสูงยิ่งนี้ ต้องเตรียมตัวและตั้งใจเล่นโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและคิดหากำไรมิชอบ. ต้องมีความฉลาดและมีความประพฤติดีในการต่อสู้กับความอยุติธรรม การกดขี่ การไม่ยอมให้ผู้อื่นมีความคิดต่างกันและการปกครองตามอำเภอใจของคน ๆ เดียวหรือของพรรค ๆ เดียว ต้องอุทิศตนทำประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วยความจริงใจและเที่ยงตรง ด้วยความรักและความกล้าหาญในทางการเมือง.
๗๖. ประชาคมการเมืองกับพระศาสนจักร
๑.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ที่มีสังคมที่ยอมให้มีหลายพรรคหลายพวก เป็นการสำคัญมากที่เราจะต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประชาคมการเมืองกับพระศาสนจักรให้ถูก และต้องระมัดระวังแยกกิจการที่คริสตชนทำเป็นคน ๆ หรือเป็นหมู่ ๆ ในนามของเขาเองในฐานะเป็นพลเมืองตามมโนธรรมของเขากับกิจการที่เขาทำในนามของพระศาสนจักรร่วมกับนายชุมพาบาลของเขา.
๒.
เมื่อพิจารณาหน้าที่และอำนาจของพระศาสนจักรแล้ว ไม่มีทางจะเอาพระศาสนจักรไปปนกับประชาคมการเมืองได้ และพระศาสนจักรก็ไม่ผูกมัดตัวกับระบอบการเมืองแบบใดทั้งสิ้น พระศาสนจักรเป็นทั้งเครื่องหมายและเครื่องคุ้มครองเกียรติอันสูงของบุคคลมนุษย์
๓.
ประชาคมการเมืองและพระศาสนจักรไม่ขึ้นแก่กันและปกครองตนเองในเรื่องที่เป็นของแต่ละฝ่ายโดยเฉพาะอย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายก็ทำการรับใช้กระแสเรียกทั้งในทางส่วนตัวและทางสังคมของมนุษย์พวกเดียวกันนั้นเอง แม้ในฐานะที่ต่างไม่เหมือนกัน แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายคำนึงถึงกรณีแวดล้อมเกี่ยวกับเวลาและสถานที่และหาทางร่วมมือกันให้ดีขึ้นเพียงไร ก็จะทำการรับใช้ที่กล่าวนี้เพื่อประโยชน์ของทุกคนเป็นผลดียิ่งขึ้นเพียงนั้นด้วย เพราะเหตุว่ามนุษย์ไม่ได้ถูกจำกัดให้อยู่เพียงในโลกนี้เท่านั้น แต่ขณะมีชีวิตอยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก็ยังคงรักษากระแสเรียกที่จะบรรลุถึงชีวิตนิรันดรไว้อย่างครอบครัน. ส่วนพระศาสนจักรซึ่งตั้งขึ้นบนความรักของพระผู้ไถ่โลกนั้น มีส่วนช่วยให้ความรักและความยุติธรรมแผ่ขยายกว้างออกไปภายในชาติและในระหว่างชาติต่าง ๆ. พระศาสนจักรเคารพและสนับสนุนเสรีภาพทางการเมืองและความรับผิดชอบของพลเมืองด้วยโดยประกาศความจริงแห่งพระวรสาร และชี้แจงให้กิจการของมนุษย์ทุกสาขาเห็นแจ้งด้วยคำสอนของตนและด้วยคำประกาศยืนยันของบรรดาคริสตชน.
๔.
เมื่อบรรดาอัครธรรมทูต ผู้สืบตำแหน่งบรรดาอัครธรรมทูตและผู้ร่วมมือกับผู้สืบตำแหน่งเหล่านี้ถูกส่งไปประกาศพระคริสตเจ้าพระผู้ไถ่โลกแก่มนุษย์นั้น ในการแพร่ธรรมของเขา เขาพึ่งอานุภาพของพระเป็นเจ้า ซึ่งบ่อย ๆ ทีเดียวแสดงให้เห็นกำลังของข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้าด้วยการเป็นสักขีพยานอ่อนแอนั้นเอง เพราะเหตุว่าบรรดาผู้ที่อุทิศตนประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้านั้น ต้องใช้ช่องทางและวิธีโดยเฉพาะของการประกาศข่าวดีซึ่งแตกต่างกับวิธีของโลกในหลาย ๆ ด้าน.
๕.
ความจริง กิจการในโลกและสิ่งที่ในความเป็นอยู่ของมนุษย์อยู่สูงกว่าโลกนั้นมีความเกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิด และพระศาสนจักรเองก็ใช้สิ่งของในโลกเท่าที่ต้องใช้ตามที่มีภาระหน้าที่ แต่ไม่ตั้งความหวังในเอกสิทธิที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมอบให้ ยิ่งกว่านั้น พระศาสนจักรจะไม่ใช้สิทธิบางอย่างที่ได้มาโดยชอบ ปรากฏว่า หากใช้แล้วจะทำให้สงสัยว่าคำประกาศยืนยันของพระศาสนจักรจะจริงหรือไม่ หรือถ้าเกิดกรณีแวดล้อมใหม่เรียกร้องให้จัดการเป็นอย่างอื่น. แต่เป็นการชอบที่พระศาสนจักรจะต้องประกาศความเชื่อได้อย่างเสรีจริง ๆ เสมอและในที่ทั่วไป สอนลัทธิสังคม ปฏิบัติภารกิจในหมู่มนุษย์ได้อย่างสะดวก ตลอดจนทำการวินิจฉัยทางศีลธรรม แม้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง เมื่อสิทธิขั้นมูลฐานของบุคคลหรือความรอดของวิญญาณเรียกร้องให้ทำ โดยใช้วิธีทุกอย่างและเฉพาะที่ถูกต้องกับพระวรสารและสอดคล้องกับสาธารณประโยชน์เท่านั้น ตามเวลาและสถานการณ์ที่แตกต่างกัน.
๖.
พระศาสนจักรซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริมและเทิดทูนทุกสิ่งที่เห็นว่าจริงและดีงามในประชาคมมนุษย์นั้น ผดุงสันติสุขไว้ในหมู่มนุษย์เพื่อพระเกียรติของพระเป็นเจ้า โดยประพฤติตามพระวรสารอย่างซื่อสัตย์กับปฏิบัติภารกิจของตนในโลก.
|