๕๗. ความเชื่อกับวัฒนธรรม
๑.
ขณะที่เดินมุ่งไปยังเมืองสวรรค์ คริสตชนต้องแสวงหาและลิ้มชิมสิ่งที่อยู่เบื้องบนสวรรค์ แต่การปฏิบัติดังนี้ไม่ใช่ทำให้พันธะของเขาที่ต้องทำงานร่วมกับมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อสร้างโลกที่มีมนุษยธรรมยิ่งขึ้น มีความสำคัญน้อยลง แต่กลับทำให้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และความจริง รหัสธรรมเรื่องความเชื่อของคริสตชนนั้นเป็นยาบำรุงใจอย่างประเสริฐช่วยให้เขาถือหน้าที่อย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้เขาค้นพบความหมายของการปฏิบัติงานนี้ ซึ่งทำให้วัฒนธรรมมีความสำคัญอย่างเด่นชัดในกระแสเรียกของมนุษย์.
๒.
ด้วยว่าเมื่อมนุษย์ขุดไถดินด้วยมือหรือด้วยเครื่องมือเทคนิค เพื่อให้ดินเกิดผลและกลายเป็นที่อยู่อันเหมาะสมสำหรับครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด และเมื่อมนุษย์มีส่วนร่วมในชีวิตของหมู่สังคมโดยความสำนึกนั้น มนุษย์ก็ปฏิบัติตามแผนการของพระเป็นเจ้าที่เผยแสดงแต่ปฐมกาลให้มนุษย์ครองโลกและทำให้การเนรมิตสร้างเสร็จสมบูรณ์ไป ซึ่งก็เท่ากับมนุษย์ทำการพัฒนาคนนั่นเอง. ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็ปฏิบัติตามพระบัญญัติอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าที่สั่งให้อุทิศตนรับใช้เพื่อมนุษย์
๓.
อนึ่ง เมื่อศึกษาวิชาต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ปรัชญา ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิชาธรรมชาติ กับเมื่อฝึกศิลปศาสตร์ต่าง ๆ นั้น มนุษย์อาจจะช่วยได้มากทีเดียวให้ครอบครัวมนุษย์มีความเข้าใจความจริง ความดี และความงามอย่างสูงเด่นยิ่งขึ้น กับมีความวินิจฉัยสิ่งที่มีค่าทั่วไป. ดังนี้ มนุษยชาติอาจได้รับความสว่างมากยิ่งขึ้นจากพระปรีชาญาณอันน่าพิศวงนั้นซึ่งสถิตอยู่กับพระเป็นเจ้าแต่นิรันดร ทรงจัดทุกสิ่งกับพระองค์ ทรงเล่นอยู่บนแผ่นดินและมีความอภิรมย์ชมชื่นที่จะประทับอยู่กับพวกลูกของมนุษย์.
๔.
ด้วยประการฉะนี้ จิตใจของมนุษย์ซึ่งหลุดพ้นจากการเป็นทาสของสรรพสิ่งมากยิ่งขึ้น ก็จะสามารถยกตัวขึ้นเพื่อถวายความคารวะและเพ่งพินิจพระผู้สร้างตนได้ง่ายยิ่งขึ้น. ยิ่งกว่านั้นอาศัยแรงดลใจของพระหรรษทาน มนุษย์พร้อมที่จะรับนับถือพระวจนาถของพระเจ้าผู้ซึ่งก่อนจะรับเอากาย เพื่อไถ่และรวมสิ่งต่างๆมาไว้ในพระองค์ ก็ประทับอยู่ในโลกแล้วเป็นดัง ความสว่างแท้ที่ส่องแสงแก่มนุษย์ทุกคน (ยน.๑:๙-๑๐).
๕.
แน่นอน ความก้าวหน้าปัจจุบันในความรู้และวิชาการต่างๆ ซึ่งเพราะตำราที่ใช้ไม่สามารถที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของความจริงนั้น อาจจะส่งเสริมลัทธิที่เรียกกันว่า ลัทธิไม่เชื่อว่ามีอะไรจริงนอกจากปรากฏการณ์ (phenomenism ) กับลัทธิไม่เชื่อถึงพระเจ้า (agnoficism) ในเมื่อวิธีค้นคว้าที่วิชาเหล่านี้ใช้ ถือผิดๆว่าเป็นกฎสูงสุดสำหรับค้นหาความจริงทั้งหมด. อันตรายยังมีอยู่คือ มนุษย์ซึ่งไว้ใจในสิ่งที่ค้นพบในทุกวันนี้จนเกินไปอาจจะคิดว่าตนพึ่งตนเองก็พอแล้วและไม่ต้องแสวงหาสิ่งมีค่าที่สูงกว่าอีกต่อไป
๖. อย่างไรก็ดี ผลร้ายเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเกิดจากวัฒนธรรมในปัจจุบันนี้ และเราไม่ควรคิดจะไม่ยอมรับนับถือคุณค่าของวัฒนธรรมนี้ ซึ่งมีอยู่อย่างแท้จริง.
สิ่งมีค่าที่สมควรจะกล่าวถึงก็คือ การชอบความรู้และการถือความจริงอย่างเคร่งครัดในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ความจำเป็นต้องทำงานร่วมกับคนอื่นในหมู่วิชาการ ความเข้าใจถึงการต้องร่วมมือกันในระหว่างชาติ การที่ผู้มีความรู้ยื่งวันยิ่งสำนึกถึงความรับผิดชอบต้องช่วยและป้องกันมนุษย์ น้ำใจอยากช่วยให้มนุษย์ทุกคนมีการกินอยู่ดีขึ้น โดยเฉพาะคนที่ไม่มีโอกาสจะรับผิดชอบ หรือผู้ที่ลำบากเพราะขัดสนทางวัฒนธรรม. สิ่งมีคุณค่าทั้งหมดนี้อาจเป็นการเตรียมทางให้ได้รับข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้า และการเตรียมทางนั้น อาจสำเร็จได้ด้วยความรักต่อพระเป็นเจ้า อาศัยพระผู้ที่เสด็จมาไถ่โลก.
๕๘. ข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้ากับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์เกี่ยวถึงกันหลายอย่าง
๑. สารที่นำความรอดมาจากพระเป็นเจ้าฝ่ายหนึ่งกับวัฒนธรรมของมนุษย์ฝ่ายหนึ่ง
มีความสัมพันธ์เกี่ยวถึงกันหลายประการ ด้วยว่าพระเป็นเจ้า เมื่อสำแดงพระองค์แก่ประชากรของพระองค์จนกว่าจะมาสำแดงพระองค์อย่างเต็มที่ในพระบุตรที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ได้ตรัสตามแบบวัฒนธรรมที่เหมาะแก่แต่ละสมัย
๒. ในทำนองเดียวกัน
พระศาสนจักรซึ่งในเวลาที่ล่วงแล้วมาเคยดำรงชีวิตอยู่ในสภาพการณ์ต่างๆได้ใช้สิ่งที่พบในวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อประกาศเผยแพร่และอธิบายสารของพระคริสตเจ้าแก่ชนทุกชาติ เพื่อศึกษาและเข้าใจสารนั้นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพื่อระบายออกมาให้ดีขึ้นในเวลาปประกอบพิธีกรรมตลอดจนในชีวิตประชาคมหลายแบบในมวลสัตบุรุษ.
๓. แต่ในขณะเดียวกัน พระศาสนจักรซึ่งพระคริสตเจ้าส่งไปหาชนชาติทุกชาติในที่ทุกแห่งและทุกสมัย
ไม่มีข้อผูกมัดออย่างเด็ดขาดและไม่รู้จักสิ้นสุดอยู่กับคนเชื้อชาติสัญชาติใดหรือกับแบบการดำรงชีวิตโดยเฉพาะแบบใด หรือกับขนบธรรมเนียมเก่าหรือใหม่อย่างใด. โดยที่พระศาสนจักรถือตามธรรมประเพณีของตนอย่างเคร่งครัด อีกทั้งสำนึกว่าตนมีหน้าที่ปฏิบัติทั่วไป จึงสามารถเข้าได้กับวัฒนธรรมแบบต่างๆ เป็นการทำความเจริญรุ่งเรืองให้แก่พระศาสนจักรเองและแก่วัฒนธรรมนั้นๆด้วย.
๔.
ข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้าฟื้นฟูชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ล้มแล้วอยู่ตลอดเวลาข่าวดีนั้นปราบและขจัดความลุ่มหลงกับความชั่วร้ายต่างๆ ซึ่งเกิดจากความเย้ายวนอันมีอยู่ตลอดเวลาของบาป. ข่าวดีนั้นชำระและยกระดับศีลธรรมของชนชาติต่างๆ ให้สูงขึ้นและโดยไม่หยุดยั้ง. คุณสมบัติต่างๆฝ่ายวิญญาณกับพรไม่ว่าของชนชาติใดและในยุคใด ข่าวดีนั้นทำให้อุดมเหมือนจากภายใน ทำให้แข็งแรง ทำให้สมบูรณ์และฟื้นฟูขึ้นในพระคริสตเจ้าด้วยพระคุณที่ได้รับจากเบื้องบน. ดังนี้ พระศาสนจักร เมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน ก็เท่ากับกระตุ้นและส่งเสริมงานอารยธรรม การกระทำของพระศาสนจักร แม้เมื่อประกอบพิธีกรรมก็เท่ากับการนำมนุษย์ไปสู่อิสรภาพภายในตน.
๕๙. ความกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมแบบต่างๆ
๑.
เนื่องจากเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้ว พระศาสนจักรขอเตือนทุกคนให้ระลึกว่า วัฒนธรรมต้องมีจุดมุ่งหมายถึงความดีพร้อมทุกอย่างของมนุษย์กับประโยชน์ของประชาคมและชาติมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ต้องฝึกฝนจิตใจเพื่อพัฒนาความสามารถที่พิศวง ยกย่อง เข้าใจ เพ่งพินิจ เพื่อมีความวินิจฉัยส่วนตัวและเพื่อยกระดับความสำนึกทางศาสนา ทางศีลธรรมและทางสังคม
๒. วัฒนธรรม โดยที่สืบเนื่องโดยตรงมาจากลักษณะรู้จักคิดหาเหตุผลและชอบอยู่เป็นสังคม
จึงต้องการเสรีภาพอันพึงมีอยู่เสมอเพื่อความเจริญงอกงามกับต้องการความสามารถอันพึงมีสำหรับปฏิบัติการได้ตามหลักการของตน. ฉะนั้น วัฒนธรรมมีสิทธิจะได้รับความเคารพและการละเมิดมิได้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องรักษาสิทธิของบุคคลและสังคม ไม่ว่าโดยเฉพาะหรือทั่วไปภายในขอบเขตของประโยชน์ส่วนรวม.
๓.
สภาสังคายนานี้ขอยกเอาคำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ ๑ มาแถลงว่า มีความรู้สองอย่าง ที่ต่างกัน คือ ความเชื่อกับเหตุผล พระศาสนจักรไม่ขัดขวางมิให้ วิชาความรู้ของมนุษย์ใช้หลักการและตำราของตนเองในแต่ละแขนง ฉะนั้น เมื่อรับรู้เสรีภาพอันยุติธรรมนี้ แล้ว พระศาสนจักรขอยืนยันว่า วัฒนธรรมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ มีความเป็นอิสระแก่ตนเองโดยชอบ.
๔.
การทั้งหมดนี้ ยังเรียกร้องให้มนุษย์สามารถแสวงหาความจริง ประกาศเผยแพร่ความคิดเห็นของตนกับฝึกฝนศิลปศาสตร์อะไรก็ได้ โดยต้องถือระเบียบศีลธรรมและรักษาประโยชน์ส่วนรวม ที่สุดยังเรียกร้องให้มนุษย์ได้ทราบข่าวเหตุการณ์บ้านเมืองตามความเป็นจริงด้วย.
๕.
ส่วนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่มีหน้าที่จะกำหนดว่า แบบวัฒนธรรมต่างๆ จะต้องมีลักษณะเป็นอย่างไร แแต่มีหน้าที่สนับสนุนเงื่อนไขและเครื่องมือที่สามารถจะส่งเสริมชีวิตวัฒนธรรมท่ามกลาง พลเมืองทุกคน และแม้แต่ภายในชนหมู่น้อยในชาติใดชาติหนึ่ง เพราะเหตุนี้ ต้องพยายามอย่าง เต็มที่อย่าให้วัฒนธรรมต้องหันเหจากจุดมุ่งหมายโดยเฉพาะของมัน แล้วถูกบังคับให้รับใช้อำนาจทางการเมืองหรือทางเศรษฐกิจ.
|