๑๑. ทำตามการดลใจของพระจิต ๑.
เพราะมีความเชื่อและรู้ว่าพระจิตของพระเจ้าซึ่งกระจายอยู่เต็มโลกนำตนไป ประชากรของ พระเป็นเจ้าจึงพยายามมองดูว่า ในเหตุการณ์ ในข้อเรียกร้อง และในความต้องการในสมัยของเรา ซึ่งตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยนั้น มีเครื่องหมายอะไรแสดงว่าพระเป็นเจ้าสถิตอยู่หรือมีพระประสงค์อะไร เพราะว่าความเชื่อส่องแสงสว่างใหม่ทำให้เราเข้าใจเรื่องทุกอย่างและทำให้เรารู้น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเกี่ยวกับ กระแสเรียกทั่วไปของมนุษย์ ฉะนั้นจึงนำให้จิตใจไปหาทางแก้ที่เป็นมนุษย์จริง ๆ
๒.
ก่อนอื่นทั้งปวง สภาสังคายนาตั้งใจจะใช้ความสว่างนี้พิจารณาสิ่งมีค่าต่าง ๆ ซึ่งคนในสมัยนี้ ยกย่องมากที่สุด และแสดงให้เห็นว่ามีกำเนิดมาจากพระเป็นเจ้า เพราะสิ่งมีค่าเหล่านี้ซึ่งเกิดจากสติปัญญาที่พระเป็นเจ้าประทานแก่มนุษย์ เป็นสิ่งดีนักหนา แต่บ่อย ๆ ทีเดียว ใจชั่วช้าเสียไปของมนุษย์ได้ชักจุงให้มันออกไปจากระเบียบที่จัดไว้เป็นอย่างดีแล้ว สิ่งมีค่าเหล่านั้นจึงพึงได้รับการล้างชำระให้สะอาด
๓.
พระศาสนจักรมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรเกี่ยวกับมนุษย์ ? เห็นว่าควรเสนอแนะอะไรบ้างสำหรับสร้างสังคมในสมัยปัจจุบันนี้ขึ้น ? กิจการของมนุษย์ในโลกมีความหมายสุดท้ายเป็นประการใด? ปัญหา ทั้งหมดนี้ต้องการคำตอบ ถ้ามีคำตอบแล้ว ก็จะเห็นชัดขึ้นว่าประชากรของพระเป็นเจ้ากับชาติมนุษย์ซึ่งประชากรของพระเป็นเจ้าปะปนอยู่ด้วย จะต้องรับใช้ช่วยเหลือกันและกัน แล้วดังนี้ ก็จะเห็นประจักษ์ว่า ภารกิจของพระศาสนจักรมีลักษณะเกี่ยวกับศาสนา และเมื่อมีลักษณะเกี่ยวกับศาสนา ก็มีลักษณะเกี่ยวกับมนุษย์อย่างสูงสุด
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ๔๐. ความสัมพันธ์ระหว่างพระศาสนจักรกับโลก
๑.
เรื่องทั้งหมดที่เรากล่าวมาแล้วเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์ ประชาคมของมนุษย์ และความหมายลึกซึ้งของการปฏิบัติงานของมนุษย์นั้น ประกอบกันขึ้นเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างพระศาสนจักรกับโลก อีกทั้งเป็นพื้นฐานของการติดต่อเจรจากันของสองฝ่าย. ด้วยเหตุนี้ ขอถือว่าสภาสังคายนาได้กล่าวสอนรหัสธรรมเรื่องพระศาสนจักรแล้วในบทนี้จะได้กล่าวถึงพระศาสนจักรเดียวกันนี้เองในฐานะที่อยู่ในโลกนี้และดำรงชีวิตกับปฏิบัติงานกับโลก.
๒.
พระศาสนจักรเกิดจากความรักของพระบิดาผู้สถิตนิรันดร พระคริสตเจ้าพระผู้ไถ่เป็นผู้ตั้งขึ้นในโลก และรวมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวในพระจิต. พระศาสนจักรนั้นมีความมุ่งหมายเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางและความรอดของมนุษย์ ความมุ่งหมายนั้นจะบรรลุผลสำเร็จสมบูรณ์ได้ก็แต่ในโลกหน้า. แต่ พระศาสนจักรดำรงอยู่ในโลกนี้แล้ว ประกอบด้วยมนุษย์ หมายความว่า ประกอบด้วยสมาชิกของพลโลกซึ่งกระแสเรียกของเขาก็คือ ตั้งครอบครัวของพระเป็นเจ้าขึ้นในประวัติศาสตร์ของโลกและครอบครัวนั้นจะต้องเพิ่มทวีขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าพระคริสตเจ้าจะเสด็จมา. อันครอบครัวนี้ซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสมบัติในสวรรค์และร่ำรวยด้วยสมบัติที่กล่าวนี้ พระคริสตเจ้า ได้จัดตั้งขึ้นเป็นสังคมในโลก และจัดให้มี เครื่องมือซึ่งสามารถแสดงความร่วมชิดสนิททางสังคมที่อาจแลเห็นได้ ดังนี้ พระศาสนจักรซึ่งเป็นทั้ง กลุ่มคนที่แลเห็นได้และเป็นทั้งประชาคมฝ่ายจิต จึงเดินร่วมไปกับมวลมนุษยชาติ และร่วมในชะตากรรมอันเดียวกับโลก เป็นดังเชื้อแป้งหรือเปรียบเหมือนดวงวิญญาณของสังคมมนุษย์ซึ่งต้องปรับปรุงฟื้นฟูในพระคริสตเจ้าและกลายเป็นครอบครัวของพระเป็นเจ้า.
๓.
จะว่าที่จริง การที่เมืองในโลกกับเมืองในสวรรค์กลมกลืนกันได้เช่นนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ก็โดยอาศัยความเชื่อเท่านั้นยิ่งกว่านั้นยังคงเป็นเรื่องลึกซึ้งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ซึ่งต้องปั่นป่วนวุ่นวายเพราะบาป จนกว่าจะถึงเวลาเผยความรุ่งโรจน์ของผู้เป็นบุตรของพระเป็นเจ้าอย่างเต็มที่. แต่พระศาสนจักรซึ่งมีจุดมุ่งโดยเฉพาะจะช่วยมนุษย์ให้รอด ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดชีวิตของพระเป็นเจ้าให้แก่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังเปรียบเหมือนสาดเทแสงสว่างที่สะท้อนมาจากชีวิตของพระเป็นเจ้านั้นไปทั่วโลก เป็นต้นโดยรักษาและยกศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์ให้สูงขึ้นโดยเสริมสังคมมนุษย์ให้มั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น และโดยทำให้การปฏิบัติงานประจำวันของมนุษย์มีความหมายและความสำคัญมายิ่งขึ้น. ดังนี้ อาศัยสมาชิกแต่ละคนและประชาคมทั้งหมดของตน พระศาสนจักรกเชื่อว่าตนสามารถมีส่วนช่วยได้มาก ทำให้ครอบครัวมนุษย์และประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีลักษณะสมกับสภาพมนุษย์มากยิ่งขึ้น.
๔.
อนึ่ง พระศาสนจักรคาทอลิกมีความพอใจให้การยกย่องเป็นอย่างสูงแก่งานต่าง ๆ ที่คริสตจักรหรือนิกายอื่นได้ทำมาแล้วและยังทำอยู่ เพื่อช่วยให้สำเร็จไปตามจุดหมายอันเดียวกันนี้. ในขณะเดียวกัน พระศาสนจักรเชื่อตระหนักแน่ว่า ในการเตรียมทางประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้า โลกสามารถช่วยพระศาสนจักรได้มากและโดยวิธีต่าง ๆ ทั้งด้วยคุณสมบัติและกิจกรรมของบุคคลแต่ละคนก็ดีและของสังคมมนุษย์ก็ดี. ต่อไปนี้ขอบรรยายหลักทั่วไปบางข้อสำหรับส่งเสริมการติดต่อและการช่วยเหลือกันในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเหมือนเป็นเรื่องร่วมกันสำหรับพระศาสนจักรกับโลกก็ว่าได้.
๔๑. พระศาสนจักรอยากช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนในเรื่องอะไร?
๑.
มนุษย์สมัยนี้กำลังพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและกำลังสืบหากับยืนยันสิทธิต่าง ๆ ของตนมากยิ่งขึ้น. ฝ่ายพระศาสนจักรซึ่งมีหน้าที่ไขรหัสธรรมเรื่องพระเป็นเจ้าซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของมนุษย์นั้น ในขณะเดียวกันก็เผยให้มนุษย์รู้ถึงความหมายของชีวิตตนเอง หมายความว่า เผยให้รู้ถึงความจริงข้อสำคัญที่สุดเกี่ยวกับมนุษย์. พระศาสนจักรรู้ดีว่า พระเป็นเจ้าแต่องค์เดียวซึ่งตนรับใช้นั้น สามารถสนองตามความปรารถนาอันล้ำลึกที่สุดในหัวใจมนุษย์ เพราะหัวใจมนุษย์นั้นอาหารต่าง ๆ ในโลกไม่มีวันที่จะเลี้ยงให้อิ่มหนำอย่างแท้จริงได้. พระศาสนจักรยังรู้ว่า มนุษย์ซึ่งพระจิตของพระเป็นเจ้าทรงสะกิดเตือนอยู่ตลอดเวลานั้น จะไม่มีวันเย็นเฉยต่อปัญหาเรื่องศาสนาเสียทีเดียวเป็นอันขาด ตามที่พิสูจน์ได้มิใช่จากประสบการณ์ในศตวรรษที่แล้ว ๆ มาเท่านั้น แต่ยังพิสูจน์ได้จากคำยืนยันบอกเล่าในสมัยของเราด้วย. มนุษย์จะต้องอยากรู้อย่างน้อยอย่างลาง ๆ ว่า ชีวิตของตน กิจการของตน และความตายของตนมีความหมายอย่างไร. การที่เขาเห็นพระศาสนจักรอยู่ต่อหน้าเขานั้นเอง ทำให้เขาต้องคิดถึงปัญหาเหล่านี้. อันว่าพระเป็นเจ้าแต่องค์เดียวซึ่งทรงสร้างมนุษย์มาตามพระฉายาของพระองค์และไถ่มนุษย์ให้พ้นจากบาปนั้น ให้คำตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างดีที่สุด โดยการไขแสดงผ่านทางพระบุตรของพระองค์ซึ่งได้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์. บุคคลใดก็ตามเดินตามพระคริสตเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ บุคคลนั้นย่อมเป็นมนุษย์ยิ่งขึ้น.
๒.
อาศัยความเชื่อข้อนี้ พระศาสนจักรจึงสามารถช่วยรักษาศักดิ์ศรีของธรรมชาติมนุษย์ไว้ไม่ให้มนุษย์มีความคิดเห็นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เช่น ถ้าเหยียดหยามร่างกายของมนุษย์ ก็เหยียดหยามจนต่ำเหลือเกิน หรือถ้ายก ก็ยกเสียจนสูงเกินไป ไม่มีบัญญัติของมนุษย์ข้อใดป้องกันศักดิ์ศรีส่วนบุคคลและเสรีภาพของมนุษย์อย่างมั่นคงได้เท่ากับพระวรสารของพระคริสตเจ้าซึ่งมอบฝากไว้ในพระศาสนจักร ด้วยว่าพระวรสารที่กล่าวนี้ป่าวประกาศเสรีภาพของผู้เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า ประณามการเป็นทาสทุกชนิดซึ่งล้วนสืบเนื่องมาจากบาป เคารพนับถือศักดิ์ศรีและการตัดสินใจอย่างเป็นอิสระของมโนธรรม สอนโดยไม่หยุดหย่อนให้ใช้คุณสมบัติของมนุษย์ทุกอย่างรับใช้พระเป็นเจ้า และทำคุณประโยชน์แก่มนุษย์ ที่สุดเตือนให้ทุกคนรักกันและกัน. ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ถูกต้องตรงกับกฎขั้นมูลฐานของการจัดระเบียบตามพระคริสตธรรม เพราะถึงแม้ว่าพระเป็นเจ้าองค์เดียวกันเป็นทั้งพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ เป็นทั้งเจ้านายในประวัติศาสตร์แห่งความรอด แต่ระเบียบที่พระเป็นเจ้าทรงตั้งขึ้นนี้ ไม่ได้กำจัดเสรีภาพอันพึงมีของสรรคสัตว์ และโดยเฉพาะของมนุษย์เลย กลับทำให้เสรีภาพนั้นมั่นคงในศักดิ์ศรีเสียอีก.
๓.
เพราะฉะนั้น อาศัยอำนาจพระวรสารที่มอบฝากกับตน พระศาสนจักรประกาศสิทธิต่าง ๆ ของมนุษย์ รับรู้และยกย่องพลังแรงดันในสมัยของเราซึ่งสนับสนุนสิทธิเหล่านี้เป็นอย่างสูง. อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ต้องดื่มด่ำด้วยจิตตารมณ์ของพระวรสารและต้องป้องกันอย่าให้มีความคิดอยากเป็นอิสระแบบจอมปลอมทุกชนิด เพราะเรามักถูกประจญให้คิดว่าสิทธิต่าง ๆ ส่วนตัวของเราได้รับการรับนับถืออย่างแท้จริงก็เฉพาะเมื่อเราหลุดพ้นจากพันธะใด ๆ ในบัญญัติของพระเป็นเจ้า แต่ถ้าถือดังนี้ ศักดิ์ศรีของมนุษย์แทนที่จะดำรงอยู่กลับจะเสื่อมสูญหายไป.
๔๒. พระศาสนจักรพยายามหาทางช่วยสังคมมนุษย์
๑. ความสามัคคีในครอบครัวมนุษย์ย่อมเข้มแข็งและสมบูรณ์ต่อเมื่อครอบครัวของผู้เป็นบุตรของพระเป็นเจ้ารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวในพระคริสตเจ้า.
๒.
อันที่จริง ภารกิจโดนเฉพาะที่พระคริสตเจ้าทรงมอบแก่พระศาสนจักรของพระองค์นั้นไม่เกี่ยวกับการเมือง การเศรษฐกิจ หรือสังคม: จุดหมายที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่พระศาสนจักรเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา แต่จากภารกิจทางศาสนานี้เองเกิดหน้าที่ ความสว่างและกำลัง ซึ่งอาจใช้สำหรับตั้งประชาคมมนุษย์ให้มั่นคงตามกฎของพระเป็นเจ้า. ในทำนองเดียวกัน ถ้าเกิดความจำเป็นขึ้นแล้วแต่กรณีเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ พระศาสนจักรสามารถและต้องปลุกปล้ำให้เกิดสถาบันสำหรับรับใช้ช่วยเหลือทุกคน เฉพาะอย่างยิ่งคนยากจนขัดสนเช่น สถาบันเมตตาสงเคราะห์หรือสถาบันอื่นทำนองนี้.
๓.
พระศาสนจักรยังยอมรับนับถือสิ่งดีทุกสิ่งที่พบเห็นในพลังแรงดันของสังคมในทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเคลื่อนไหวไปสู่เอกภาพ ความก้าวหน้าในการจัดสังคมแบบที่ดีและการร่วมมือกันในกิจการบ้านเมืองและทางเศรษฐกิจ ด้วยว่าการส่งเสริมเอกภาพนั้นประสานเข้ากับภารกิจอันลึกซึ้งของพระศาสนจักร เพราะพระศาสนจักรเป็นดัง ศีลศักดิ์สิทธิ์ในพระคริสตเจ้าคือเห็นทั้งเครื่องหมายและเครื่องมือสำหรับสนิทใกล้ชิดกับพระเป็นเจ้า และสำหรับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมนุษยชาติทั้งมวล ดังนี้พระศาสนจักรแสดงให้โลกเห็นว่า ความสามัคคีทางสังคมอย่างแท้จริงที่แลเห็นได้นั้นเกิดจากความสามัคคีทางจิตใจ คือเกิดจากความเชื่อและความรัก ซึ่งเป็นรากฐานอันไม่รู้จักหายสูญของเอกภาพแห่งพระศาสนจักรในพระจิตเจ้า ด้วยว่ากำลังความเข้มแข็งที่พระศาสนจักรสามารถฉีดให้แก่สังคมมนุษย์ในสมัยนี้นั้น อยู่ในความเชื่อและความรักนั้นที่ถือจนเกิดผล มิใช่อยู่ที่อำนาจความเป็นใหญ่ภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งแสดงออกโดยใช้วิธีการของมนุษย์แท้ ๆ.
๔.
อนึ่ง เนื่องจากพระศาสนจักรมีภารกิจและลักษณะที่ไม่ผูกพันกับวัฒนธรรมแบบใดหรือระบอบการเมือง เศรษฐกิจหรือสังคมแบบใดโดยเฉพาะ อาศัยลักษณะเข้าได้ทั่วไปนี้เองพระศาสนจักรสามารถเป็นเครื่องเชื่อมโยงระหว่างประชาคมมนุษย์หมู่ต่าง ๆ และระหว่างชาติต่าง ๆ เพียงแต่ประชาคมและชาติเหล่านั้นต้องไว้ใจและยอมให้พระศาสนจักรมีเสรภาพอย่างแท้จริงที่จะปฎิบัติถือตามหน้าที่ของตน. เพราะเหตุนี้พระศาสนจักรจึงเตือนลูกของตนตลอดจนมนุษย์ทุกคนว่า ตนใช้เจตตารมณ์ที่ถือว่าลูกของพระเป็นเจ้าเป็นครอบครัวหนึ่งเดียวกันเอาชนะความแตกสามัคคีระหว่างชาติและระหว่างเชื้อชาติกับสนับสนุนบรรดาสมาคมมนุษย์ที่ตั้งขึ้นโดยชอบให้มีความมั่นคงภายใน.
๕.
ฉะนั้น ไม่ว่าสิ่งใดซึ่งจริง ดี และยุติธรรม และพบเห็นอยู่ในสถาบันต่าง ๆ มากมาย อันชาติมนุษย์ได้ตั้งขึ้นแล้วและยังตั้งอยู่อย่างไม่หยุดยั้งนั้น สภาสังคายนาย่อมพิจารณาด้วยความเคารพอย่างสูงและขอแถลงด้วยว่า พระศาสนจักรยินดีช่วยเหลือและส่งเสริมสถาบันเช่นนี้ทั้งหมด เท่าที่เรื่องนี้ขึ้นอยู่และเข้ากันได้กับภาระหน้าที่ของพระศาสนจักร. พระศาสนจักรไม่ปรารถนาสิ่งใดยิ่งกว่าขอให้สามารถพัฒนาตนได้อย่างอิสระเพื่อรับใช้ทำประโยชน์ให้แก่ทุกคน ภายใต้ระบอบไม่ว่าแบบใดที่รับรู้สิทธิขั้นมูลฐานของบุคคล ของครอบครัว ตลอดจนความต้องการต่าง ๆ ของประโยชน์ส่วนรวม.
๔๓. พระศาสนจักรพยายามใช้คริสตชนช่วยการปฏิบัติงานของมนุษย์
๑.
สภาสังคายนาขอเตือนบรรดาคริสตชนซึ่งเป็นพลเมืองทั้งของโลกนี้และโลกหน้า ให้เอาใจใส่ปฏิบัติภาระหน้าที่ฝ่ายโลกอย่างซื่อสัตย์ และโดยถือตามจิตตารมณ์ที่พระวรสารสอนเรารู้ว่าเราไม่มีเมืองถาวรอยู่ในโลกนี้ แต่กำลังมุ่งไปสู่นครในโลกหน้า แต่แล้วเราก็ผิดถนัดหากเราคิดว่าเราปล่อยปละละเลยภาระหน้าที่ในโลกได้ โดยไม่คำนึงว่าความเชื่อนั้นเองกลับเร่งรัดให้เขาปฏิบัติภาระหน้าที่เหล่านี้ดียิ่งขึ้นตามกระแสเรียกของแต่ละคน อีกฝ่ายหนึ่งเราก็เข้าใจผิดเช่นเดียวกัน หากเราคิดว่าเราหมกมุ่นในธุระการงานฝ่ายโลกได้ เหมือนกับว่าธุระการงานเหล่านั้นไม่เกี่ยวกันกับชีวิตทางศาสนาเลย เพราะคิดว่าชีวิตทางศาสนานั้นก็มีเพียงแต่ประกอบคารวกิจและถือพันธะทางศีลธรรมบางอย่างเท่านั้น. การที่ความเชื่อซึ่งคนเป็นอันมากถือขัดกับการประพฤติประจำวันของเขาเช่นนี้ ต้องนับเข้าในจำนวนความลุ่มหลงที่ร้ายแรงที่สุดในสมัยของเรา. ความประพฤติน่าตำหนินี้ในพันธสัญญาเก่าก็ถูกบรรดาประกาศกประณามอย่างรุนแรงมาแล้ว และในพันธสัญญาใหม่ก็ถูกประณามอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นอีกโดยพระเยซูคริสตเจ้าเองทรงขู่จะลงโทษอย่างหนัก. เพราะฉะนั้นขออย่าให้มีการขัดแย้งกันอย่างจอมปลอมระหว่างการปฏิบัติงานทางอาชีพและสังคมฝ่ายหนึ่งกับชีวิตทางศาสนาอีกฝ่ายหนึ่ง. คริสตชนที่ละเลยหน้าที่ทางโลกก็เท่ากับละเลยหน้าที่ต่อเพื่อนมนุษย์และต่อพระเป็นเจ้าเองด้วย กับทำให้ความรอดนิรันดรของตนตกอยู่ในที่อันตราย. ตามพระฉบับแบบของพระคริสตเจ้าที่ได้ดำรงชีพอย่างกรรมกรคนหนึ่ง คริสตชนควรจะยินดีที่สามารถปฏิบัติงานทางโลกทุกอย่าง โดยรวมความอุตส่าห์ทุกอย่างของมนุษย์ ของครอบครัว ของอาชีพ ของวิชาความรู้ หรือของวิชาการด้านเทคนิคเป็นสังเคราะห์อันเดียวเข้ากับสิ่งดีงามอันมีค่าทางศาสนา: เมื่อสิ่งดีงามอันมีค่าทางศาสนานำไป ทุกสิ่งก็ประสานกันเพื่อพระเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า.
๒.
อาชีพและงานการทางโลกเป็นของฆราวาสโดยเฉพาะแม้ว่าไม่ใช่อย่างเด็ดขาดทีเดียว. ฉะนั้น เมื่อปฏิบัติงานเป็นคน ๆ ก็ดีหรือเป็นหมู่ ๆ ก็ดี ในฐานะเป็นพลโลก ฆราวาสมิใช่แต่ต้องถือกฎที่ได้แก่แต่ละวิชาเท่านั้น แต่ควรเอาใจใส่หาความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงใส่ตัวในวิชานั้น ๆ ด้วย. ฆราวาสควรเต็มใจร่วมมือกับผู้ที่มุ่งถึงจุดหมายอันเดียวกัน. เมื่อฆราวาสสำนึกถึงสิ่งที่ความเชื่อเรียกร้องให้ทำ และประกอบด้วยกำลังของความเชื่อแล้วเมื่อมีโอกาสเหมาะ เขาไม่ควรลังเลใจที่จะคิดการริเริ่มใหม่ ๆ และทำจนสำเร็จลุล่วงไป. มโนธรรมของเขาที่ได้รับการอบรมอย่างเหมาะสมมาแล้ว มีหน้าที่ต้องจารึกบัญญัติของพระเป็นเจ้าในชีวิตบนโลกนี้. ฆราวาสจะหวังได้รับความสว่างและกำลังฝ่ายวิญญาณจากพระสงฆ์ก็ได้ แต่อย่าคิดว่า นายชุมพาบาลของตนจะมีความชำนาญจัดเจนจนถึงขนาดสามารถขบปัญหาทุกอย่าง แม้เรื่องสำคัญได้อย่างเหมาะเจาะและฉับพลันเสมอไป หรือคิดว่าพระสงฆ์ได้รับภารกิจเช่นนี้. ทางที่ถูก อาศัยความเฉลียวฉลาดตามพระคริสตธรรมและความเอาใจใส่ฟังคำสอนของพระศาสนจักร ฆราวาสควรปฏิบัติหน้าที่โดยเฉพาะของตนเอง.
๓.
บ่อย ๆ ทัศนะความเห็นตามพระคริสตธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ จะชักจูงฆราวาสให้ตัดสินไปทางใดทางหนึ่งในบางกรณี แต่สัตบุรุษคนอื่นอาจจะตัดสินในเรื่องเดียวกันไปอีกทางหนึ่งโดยมีความสุจริตเท่าเสมอกัน ตามที่เกิดมีเช่นนี้บ่อย ๆ และก็เป็นเรื่องธรรมดา. คนหลายคนอาจเอาความเห็นของคนนี้หรือคนนั้นไปปนกับข้อความในพระวรสารได้ง่าย ๆ โดยบางทีขัดต่อเจตจำนงของผู้เกี่ยวข้องเอง. ในกรณีเช่นนั้นต้องระลึกว่าไม่มีใครมีสิทธิจะอ้างอำนาจของพระศาสนจักรมาสนับสนุนความคิดเห็นของตนได้อย่างเด็ดขาดฝ่ายเดียว. ในการสนทนากันอย่างสุจริตใจ ทั้งสองฝ่ายพยายามพูดให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ รักษาความรักต่อกัน และเฉพาะอย่างยิ่งห่วงใยถึงประโยชน์ร่วมกัน.
๔.
ฆราวาสซึ่งต้องมีส่วนร่วมในชีวิตทั่วไปของพระศาสนจักรอย่างขันแข็งนั้น มิใช่แต่ต้องชุบโลกให้มีจิตตารมณ์ตามพระคริสตธรรมเท่านั้น แต่ยังได้รับเรียกมาให้เป็นองค์พยานประกาศพระคริสตเจ้าในทุก ๆ กรณีและในท่ามกลางประชาคมมนุษย์ด้วย.
๕.
ส่วนพระสังฆราชซึ่งได้รับหน้าที่ปกครองพระศาสนจักรของพระเป็นเจ้านั้น ให้ร่วมมือกับพระสงฆ์ประกาศสารของพระคริสตเจ้าจนถึงขั้นที่สัตบุรุษปฏิบัติงานฝ่ายโลกทุกอย่างสอดคล้องกับคำสอนของพระวรสาร. นอกจากนี้ นายชุมพาบาลทุกคนพึงระลึกว่าความสาละวนห่วงใยและความประพฤติประจำวันของตนนั้นเป็นการสำแดงให้โลกเห็นหน้าของพระศาสนจักรและเมื่อเห็นหน้านี้ มนุษย์ก็จะตัดสินใจได้ว่า คำสอนของคริสตชนมีพลังและความจริงเพียงใด. ขอให้พระสังฆราชร่วมกับนักบวชและสัตบุรุษในบังคับบัญชา ทำการพิสูจน์ด้วยการดำรงชีวิตและคำพูดว่า พระศาสนจักรแม้เพียงแต่มาอยู่และนำพระคุณต่าง ๆ มาให้ ก็ยังเปรียบเหมือนบ่ออันไม่รู้จักเหือดแห้งที่เกิดพละกำลังต่าง ๆ ซึ่งโลกในทุกวันนี้ต้องการเป็นอย่างยิ่ง. ขอให้พระสังฆราชหมั่นขยันศึกษา เพื่อสามารถที่จะเข้ารับผิดชอบในการเจรจาติดต่อกับโลกและกับมนุษย์ที่มีความคิดเห็นไม่ว่าแบบใด. แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอให้พระสังฆราชจำถ้อยคำของสภาสังคายนานี้ไว้ว่า เพราะมนุษย์ชาติในปัจจุบันยิ่งทียิ่งรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น จึงยิ่งจำเป็นที่พระสงฆ์ทั้งหลายจะต้องร่วมมือช่วยเหลือกันและกันกำจัดการแตกแยกทุกชนิด โดยมีพระสังฆราชและพระสันตะปาปาเป็นผู้นำ มนุษยชาติทั้งสิ้นจะได้เข้ามาอยู่เป็นครอบครัวของพระเป็นเจ้าครอบครัวเดียว
๖.
แม้ว่าด้วยอานุภาพของพระจิต พระศาสนจักรยังคงเป็นเจ้าสาวผู้สัตย์ซื่อของพระผู้เป็นเจ้านายของตนและไม่เคยหยุดเป็นเครื่องหมายแห่งความรอดในโลก พระศาสนจักรไม่ใช่ไม่รู้ว่าตลอดเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ เคยมีบางคนในสมาชิกของตน ทั้งที่เป็นนักบวชและฆราวาส ประพฤติไม่ซื้อสัตย์ต่อพระจิต. แม้ในทุกวันนี้ พระศาสนจักรก็ยังรู้ว่า ความขาดตกบกพร่องตามประสามนุษย์ของผู้ที่ได้รับมอบให้ประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้านั้น ยังอยู่ห่างไกลไม่คู่ควรกับสารที่พระศาสนจักรเผยแสดงสักเพียงใด. ประวัติศาสตร์จะวินิจฉัยความผิดบกพร่องเหล่านี้อย่างไรก็ตาม เราต้องสำนึกและต้องพยายามต่อสู้อย่าให้เกิดขึ้นมาขัดขวางเป็นผลร้ายต่อการเผยแพร่ข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้าอีก. พระศาสนจักรรู้เช่นเดียวกันว่า เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์กับโลก ตนยังต้องเรียนหาความชำนาญจัดเจนในเรื่องฝ่ายโลกอีกต่อไป. ด้วยการนำของพระจิต พระศาสนจักรผู้เป็นมารดาไม่เคยหยุดยั้งที่จะเร้าเตือนบรรดาลูก ๆ ให้ ชำระตนและรื้อฟื้นตนเสียใหม่ เพื่อว่าเครื่องหมายของพระคริสตเจ้าจะได้ฉายแสงบนใบหน้าของพระศาสนจักรให้เจิดจ้ายิ่ง ๆ ขึ้น.
๔๔. พระศาสนจักรได้รับความช่วยเหลือจากโลกในปัจจุบันนี้
๑.
โลกมีผลประโยชน์ที่จะรับรู้ว่า พระศาสนจักรเป็นสังคมที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์และเป็นเครื่องส่งเสริมตน ในทำนองเดียวกัน พระศาสนจักรเองก็รู้ดีว่า ตนได้รับประโยชน์มากจากประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของชาติมนุษย์.
๒.
ประสบการณ์ในศตวรรษที่แล้ว ๆ มาก็ดี ความก้าวหน้าของวิชาความรู้ก็ดี ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมต่าง ๆ ก็ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้อำนวยให้รู้จักธรรมชาติของมนุษย์เองดียิ่งขึ้นกับเปิดช่องทางใหม่ ๆ ให้ไปถึงความจริงนั้น ก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่พระศาสนจักรด้วย เพราะตั้งแต่เริ่มต้นประวัติของตน พระศาสนจักรได้เรียนรู้ที่จะแจ้งสารของพระคริสตเจ้าโดยใช้ความนึกคิดและภาษาของชนชาติต่าง ๆ และยังพยายามอธิบายสารนั้นให้แจ่มแจ้งด้วยความปรีชาฉลาดของนักปรัชญาเมธี ทั้งนี้ก็เพื่อปรับพระวรสารให้เหมาะแก่ความเข้าใจของทุก ๆ คนและให้เหมาะแก่ความต้องการของผู้ที่ปรีชาฉลาดอันแท้จริงเท่าที่สามารถจะทำได้. อันที่จริงวิธีที่ปรับปรุงให้เหมาะสำหรับประกาศพระวาจาไขแสดงของพระเป็นเจ้านี้ ต้องคงเป็นกฎสำหรับการประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้าเสมอไป เพราะแต่ละชาติพัฒนาความสามารถที่จะแสดงสารของพระคริสตเจ้าด้วยวิธีการของตนเช่นนี้แหละ และในขณะเดียวกันก็มีการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนอย่างมีชีวิตระหว่างพระศาสนจักรกับวัฒนธรรมต่าง ๆ. เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ทวีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของเราที่เหตุการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและวิธีคิดก็มีต่าง ๆ กันมากมาย. พระศาสนจักรมีความต้องการเป็นพิเศษ คือ ต้องการความช่วยเหลือของผู้ที่เจริญชีวิตอยู่ในโลก รู้จักระเบียบแบบแผนและระเบียบวินัยของโลก เข้าใจความหมายภายในของระเบียบแบบแผนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้มีความเชื่อหรือไม่มีความเชื่อ. เป็นหน้าที่ของประชากรทั้งมวลของพระเป็นเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งของบรรดาชุมพาบาลและนักเทวศาสตร์ ที่จะเงี่ยหูฟัง แยกแยะ และตีความหมายของเสียงมากมายในสมัยของเรา แล้ววินิจฉัยเสียงเหล่านั้นอาศัยความสว่างแห่งพระวาจาของพระเป็นเจ้า เช่นนี้เราจะได้ซาบซึ้งในความจริงนั้นยิ่งขึ้น เข้าใจดียิ่งขึ้นและนำมาเสนอได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น.
๓.
เนื่องจากพระศาสนจักรมีโครงสร้างทางฝ่ายสังคมที่แลเห็นได้และเป็นเครื่องหมายแสดงว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระคริสตเจ้า พระศาสนจักรจะเจริญสมบูรณ์และอันที่จริงก็เจริญสมบูรณ์ขึ้นก็ด้วยความก้าวหน้าในชีวิตทางสังคมของมนุษย์. ที่เป็นเช่นนี้ มิใช่ว่าร่างที่พระคริสตเจ้าประทานให้แก่พระศาสนจักรนั้นขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เพื่อให้พระศาสนจักเข้าใจและอธิบายร่างนั้นให้ดียิ่งขึ้น และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสมัยของเราให้ดียิ่งขึ้น พระศาสนจักรสำนึกด้วยการรู้คุณว่า ตนได้รับความช่วยเหลือต่าง ๆ จากมนุษย์ทุกชั้นและทุกฐานะ ความช่วยเหลือนั้นก็เป็นประโยชน์แก่ประชาคมที่ตนตั้งขึ้นและแก่ลูกแต่ละคนของตน ด้วยว่าบุคคลใดก็ตามที่ส่งเสริมประชาคมมนุษย์ให้เจริญพัฒนาในทางครอบครัว ทางวัฒนธรรม ทางสังคม ทางการเมือง ทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ ก็เท่ากับบุคคลนั้น ตามแผนการของพระเป็นเจ้า ได้ทำการช่วยเหลือประชาคมพระศาสนจักรเป็นอย่างมาก เท่าที่ประชาคมพระศาสนจักรขึ้นแก่โลกภายนอกด้วย. ยิ่งกว่านั้นพระศาสนจักรับว่าตนได้รับประโยชน์มากและยังสามารถได้รับประโยชน์เช่นนั้นต่อไปจากการขัดขวางของผู้ที่ต่อต้านและเบียดเบียนตน.
๔๕. พระคริสตเจ้าเป็นเบื้องต้นและบั้นปลาย
๑.
ในขณะที่พระศาสนจักรช่วยโลกและได้รับประโยชน์เป็นอันมากจากโลกนั้น พระศาสนจักรมุ่งถึงจุดหมายประการเดียวคือ ให้พระราชัยของพระเป็นเจ้ามาถึง และให้ความรอดของชาติมนุษย์สำเร็จไป ด้วยความดีทุกอย่างที่ประชากรของพระเป็นเจ้าสามารถทำให้แก่ครอบครัวมนุษย์ได้ขณะที่เดินทางอยู่ในโลกนี้นั้น ย่อมเกิดจากความจริงข้อที่ว่า พระศาสนจักรเป็นเครื่องหมายอันยังคงความรอดแก่ทุกสิ่ง ซึ่งพึงแสดงและประกอบรหัสธรรมเรื่องความรักของพระเป็นเจ้าต่อมนุษย์.
๒.
ด้วยว่าพระวจนาถกของพระเป็นเจ้าซึ่งเป็นผู้เนรมิตรสร้างทุกสิ่งนั้น ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่าเมื่อเป็นมนุษย์ดีสมบูรณ์แล้ว จะได้กอบกู้มนุษย์ทุกคนและรวบรวมทุกสิ่งไว้ในพระองค์. พระคริสตเจ้าเป็นที่สิ้นสุดของประวัติศาสตร์มนุษย์เป็นจุดที่ความปรารถนาของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมพุ่งรวมไปถึง เป็นศูนย์กลางของมนุษยชาติ เป็นความชื่นชมของดวงจิตทุกดวงและเป็นที่ดวงใจได้สมปรารถนาทุกประการ. พระองค์เป็นผู้ที่พระบิดาทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนม์จากความตายทรงยกย่องให้ประทับเบื้องขวา และทรงตั้งให้เป็นผู้พิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย. เมื่อมีชีวิตและรวมกันอยู่ในพระจิตของพระองค์เราก็เดินไปหาจุดจบสิ้นของประวัติศาสตร์มนุษย์ซึ่งตรงกับแผนการความรักของพระองค์ทีเดียว คือ สถาปนาพระคริสตเจ้าให้เป็นประมุของค์เดียวของสรรพสิ่งทั้งที่อยู่บนสวรรค์และบนแผ่นดิน (อฟ. ๑:๑๒๑๓).
|