หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พระธรรมนูญ พระสมณกฤษฎีกาและ
คำแถลงแห่งสภาสังคายนา  เล่มที่ 5

บทที่  3 : การปฏิบัติงานของมนุษย์ในสากลโลก

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้
ภาคที่หนึ่ง  :  พระศาสนจักรกับกระแสเรียกของมนุษย์

๑๑.  ทำตามการดลใจของพระจิต
  ๑. เพราะมีความเชื่อและรู้ว่าพระจิตของพระเจ้าซึ่งกระจายอยู่เต็มโลกนำตนไป ประชากรของ พระเป็นเจ้าจึงพยายามมองดูว่า ในเหตุการณ์ ในข้อเรียกร้อง และในความต้องการในสมัยของเรา  ซึ่งตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยนั้น  มีเครื่องหมายอะไรแสดงว่าพระเป็นเจ้าสถิตอยู่หรือมีพระประสงค์อะไร เพราะว่าความเชื่อส่องแสงสว่างใหม่ทำให้เราเข้าใจเรื่องทุกอย่างและทำให้เรารู้น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเกี่ยวกับ    กระแสเรียกทั่วไปของมนุษย์ ฉะนั้นจึงนำให้จิตใจไปหาทางแก้ที่เป็นมนุษย์จริง ๆ

๒. ก่อนอื่นทั้งปวง  สภาสังคายนาตั้งใจจะใช้ความสว่างนี้พิจารณาสิ่งมีค่าต่าง ๆ ซึ่งคนในสมัยนี้  ยกย่องมากที่สุด และแสดงให้เห็นว่ามีกำเนิดมาจากพระเป็นเจ้า เพราะสิ่งมีค่าเหล่านี้ซึ่งเกิดจากสติปัญญาที่พระเป็นเจ้าประทานแก่มนุษย์ เป็นสิ่งดีนักหนา แต่บ่อย ๆ ทีเดียว ใจชั่วช้าเสียไปของมนุษย์ได้ชักจุงให้มันออกไปจากระเบียบที่จัดไว้เป็นอย่างดีแล้ว  สิ่งมีค่าเหล่านั้นจึงพึงได้รับการล้างชำระให้สะอาด

๓. พระศาสนจักรมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรเกี่ยวกับมนุษย์ ? เห็นว่าควรเสนอแนะอะไรบ้างสำหรับสร้างสังคมในสมัยปัจจุบันนี้ขึ้น ? กิจการของมนุษย์ในโลกมีความหมายสุดท้ายเป็นประการใด? ปัญหา    ทั้งหมดนี้ต้องการคำตอบ ถ้ามีคำตอบแล้ว ก็จะเห็นชัดขึ้นว่าประชากรของพระเป็นเจ้ากับชาติมนุษย์ซึ่งประชากรของพระเป็นเจ้าปะปนอยู่ด้วย  จะต้องรับใช้ช่วยเหลือกันและกัน แล้วดังนี้ ก็จะเห็นประจักษ์ว่า ภารกิจของพระศาสนจักรมีลักษณะเกี่ยวกับศาสนา และเมื่อมีลักษณะเกี่ยวกับศาสนา ก็มีลักษณะเกี่ยวกับมนุษย์อย่างสูงสุด
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
๓๓.  การตั้งปัญหา

๑. มนุษย์พยายามทำงานและใช้สติปัญญาทำให้การดำรงชีวิตของตนดีขึ้นโดยไม่หยุดยั้ง  แต่ทุกวันนี้เฉพาะอย่างยิ่งอาศัยความรู้และวิชาการ มนุษย์ได้แผ่ขยายอำนาจไปถึงธรรมชาติเกือบทั่วไป และก็ยังแผ่ขยายเช่นนั้นอยู่. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากนานาชาติทำการแลกเปลี่ยนกันทุกชนิดมากขึ้น ครอบครัวมนุษย์จึงค่อย ๆ ประกอบกันตั้งขึ้น  และรับรู้ว่าตนเป็นประชาคมเดียวเท่านั้นในสากลโลก. เมื่อเป็นเช่นนี้ ของหลาย ๆ สิ่งที่แต่ก่อนนี้มนุษย์หวังจะได้รับก่อนอื่นหมดจากอำนาจเบื้องบนทุกวันนี้ก็คิดหาเอาด้วยความขยันหมั่นเพียรของตนเอง.

๒. เมื่อมนุษย์ชาติต่างมีความมานะบากบั่นกันเช่นนี้ก็เกิดมีคำถามหลายข้อขึ้นใหม่ในหมู่มนุษย์ เช่นว่า  ความขยันหมั่นเพียรเช่นนี้มีความหมายและมีค่าเป็นประการใด ?  ต้องใช้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อย่างไร ? ความพยายามของแต่ละคนก็ดี ของสังคมก็ดี มุ่งถึงจุดหมายอะไร ? พระศาสนจักรเป็นผู้เฝ้ารักษาพระวาจาของพระเป็นเจ้าและนำมาใช้เป็นหลักในเรื่องศาสนาและศีลธรรมก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าจะตอบปัญหาเหล่านี้แต่ละข้อได้อย่างฉับพลันทันทีเสมอไป อย่างไรก็ดี พระศาสนจักรใคร่ใช้ทั้งการไขแสดงของพระเป็นเจ้าและประสบการณ์ของทุก ๆ คนส่องชี้ทางที่มนุษยชาติเพิ่งจะย่างเข้าไป.

การปฏิบัติงานของมนุษย์มีค่าอย่างไร ?

๑. ผู้มีความเชื่อย่างแน่นอนว่า  การปฏิบัติงานของมนุษย์  ไม่ว่าของแต่ละคนหรือของส่วนรวม  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง  การที่มนุษย์ในยุคต่าง ๆ พยายามอย่างใหญ่หลวงที่จะทำให้การดำรงชีวิตสะดวกสบายขึ้นนั้น ถึงจะพิจารณาในตัวมันเองก็ถือเป็นการทำถูกตามแผนการของพระเป็นเจ้า เพราะมนุษย์ซึ่งสร้างมาตามพระฉายาของพระองค์นั้น ได้รับมอบหมายให้เอาโลกและของทุกสิ่งที่อยู่ในโลกไว้ในอำนาจ  ให้ปกครองโลกอย่างศักดิ์สิทธิ์และยุติธรรม  และเมื่อยอมรับนับถือพระเป็นเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งก็ให้ถือว่าตนและจักรวาลขึ้นแก่พระองค์.  เช่นนี้แหละ แม้ทุกสิ่งอยู่ในอำนาจของมนุษย์ แต่พระนามของพระองค์ก็เป็นที่นับถือยกย่องทั่วพิภพ.

๒. คำสอนข้อนี้ยังใช้ได้สำหรับกิจการที่ทำอยู่ทุกวันด้วย  เพราะหญิงชายที่ทำมาหาเลี้ยงชีพตนและครอบครัว ซึ่งเท่ากับเป็นการทำงานรับใช้สังคมนั้น  สามารถคิดได้โดยถูกต้องว่า การออกแรงของตนเป็นการต่องานของพระผู้สร้าง  เป็นการรับใช้พี่น้องมนุษย์และเป็นการมีส่วนช่วยทำให้แผนการของพระเป็นเจ้าสำเร็จไปในประวัติศาสตร์.

๓. ดังนี้ คริสตชนไม่คิดว่า งานที่มนุษย์ทำด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญจะขัดต่อพระฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้า  และไม่ถือว่าสรรคสัตว์ที่รู้จักคิดเป็นคู่แข่งของพระผู้สร้าง  ตรงกันข้ามกลับเชื่อตระหนักว่า ชัยชนะของมนุษยชาติเป็นเครื่องหมายแสดงความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าและเป็นผลที่เกิดจากแผนการอันวิเศษล้ำเลิศของพระองค์  แต่มนุษย์ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเพียงใด ความรับผิดชอบไม่ว่าของแต่ละคนหรือของหมู่คณะก็ยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้นด้วย. ดังนี้ จึงเห็นได้ว่าพระคริสตธรรมไม่ได้สอนมนุษย์ให้ละเว้นไม่สร้างโลกให้เจริญขึ้นหรือให้ละเลยต่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์  แต่ตรงกันข้าม กลับเร่งเร้าให้ทำงานเหล่านี้มากยิ่งขึ้น.

๓๕.  การปฏิบัติงานมนุษย์ต้องถือกฎเกณฑ์อะไรบ้าง ?

๑. การปฏิบัติงานของมนุษย์สืบมาจากมนุษย์ฉันใด  ก็มีไว้สำหรับมนุษย์ฉันนั้น  เพราะเมื่อทำการใด มนุษย์มิใช่แต่ทำให้สิ่งของและสังคมเปลี่ยนไปเท่านั้นแต่ยังทำให้คนดีขึ้นด้วย. มนุษย์เรียนรู้หลายอย่าง. พัฒนาสมรรถพลของตน  ไม่ช่วยแต่ตนเองแต่ยังช่วยคนอื่นด้วย.  ความเจริญแบบนี้ ถ้าเข้าใจถูกต้อง ย่อมมีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติภายนอกที่อาจจะสะสมได้.  มนุษย์นั้นมีค่าเพราะเป็นอะไรมากกว่าเพราะมีอะไร  เช่นเดียวกัน  อะไร ๆ ที่มนุษย์ทำเพื่อให้มีความยุติธรรมมากขึ้น เพื่อให้มีภารดรภาพมากขึ้น หรือเพื่อให้มีความเป็นระเบียบที่สมกับมนุษย์มากขึ้นในการติดต่อกันทางสังคม ย่อมมีค่ามากกว่าความก้าวหน้าทางวิชาการเพราะความก้าวหน้าทางวิชาการนั้นอาจเป็นปัจจัยทำให้มนุษย์เจริญก็จริง แต่ลำพังความก้าวหน้าอย่างเดียวไม่สามารถทำให้มนุษย์เจริญได้.

๒. ดังนั้น  กฎเกณฑ์ของการปฏิบัติงานของมนุษย์จึงได้แก่กฎเกณฑ์ต่อไปนี้คือ ปฏิบัติให้ตรงกับประโยชน์ที่แท้จริงของมนุษยชาติ  ตามแผนการและน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าและอำนวยให้มนุษย์เป็นบุคคลหรือสมาชิกในสังคม  ปฏิบัติตามกระแสเรียกของตนได้อย่างครบถ้วน.

๓๖.  กิจการในโลกนี้ต้องมีความอิสระอย่างถูกต้อง

๑. ทั้งนั้นก็ดีคนในสมัยของเราเป็นอันมากดูเหมือนกลัวว่าถ้ากิจการของมนุษย์มีความเกี่ยวพันกัน ถ้าคำว่า “กิจการในโลกต้องมีความอิสระ” หมายความว่า สิ่งที่พระสร้างมาและสังคมย่อมมีกฎและคุณค่า ศาสนาใกล้ชิดเกินไป จะเป็นอันตรายแก่ความเป็นอิสระของมนุษย์  ของสังคมและวิชาความรู้ แต่ยังตรงกับน้ำพระทัยของพระผู้สร้างด้วย  เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถูกสร้างมาให้มีความคงทน เป็นของแท้ เป็นของดี กับมีกฎและระเบียบของมันเอง มนุษย์ต้องเคารพสิ่งทั้งหมดนี้ โดยรับรู้วิธีการโดยเฉพาะที่ได้แก่ความรู้และวิชาการแต่ละอย่าง  เพราะฉะนั้นวิธีการโดยเฉพาะการค้นคว้าอย่างมีระเบียบในทุกแขนงความรู้ ถ้าทำอย่างถูกหลักวิชาจริง ๆ และตามกฎเกณฑ์ของศีลธรรมย่อมไม่ขัดต่อความเชื่ออย่างแท้จริงเป็นอันขาด. เพราะเรื่องฝ่ายโลกกับฝ่ายความเชื่อย่อมมีต้นเดิมมาจากพระเป็นเจ้าองค์เดียวกัน. ยิ่งกว่านั้น  ผู้ที่พยายามสืบหาความเร้นลับในสิ่งต่าง ๆ ด้วยใจถ่อมตัวและพากเพียร ถึงเขาจะไม่รู้ตัว  ก็เหมือนกับถูกนำไปด้วยพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้าซึ่งทรงค้ำจุนทุกสิ่งไว้  ทำให้มันเป็นอย่างที่มันเป็นอยู่.  เกี่ยวกับเรื่องนี้เราขอประณามทัศนคติบางอย่างที่มีอยู่แม้ในหมู่คริสตชนเอง เพราะเข้าใจไม่พอถึงเรื่องความรู้ต้องมีเสรีภาพเท่าทีควร.  ทัศนคติเหล่านี้ทำให้เกิดการขัดแย้งและโต้เถียงกันและได้เป็นเหตุให้บางคนถึงกับคิดว่าความรู้กับความเชื่อขัดแย้งกัน.

๓. แต่ถ้าคำว่า “กิจการทางโลกต้องมีความเป็นอิสระ”  หมายความว่าสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างมาไม่ขึ้นกับพระองค์ และมนุษย์สามารถใช้สิ่งเหล่านี้โดยไม่ถือว่าขึ้นกับพระผู้สร้างแล้ว ไม่ว่าใครที่ยอมรับนับถือพระเป็นเจ้า ย่อมต้องรู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้ผิดหนักสักเพียงใด เพราะถ้าไม่มีพระผู้สร้าง สรรคสัตว์ก็ย่อมมีไม่ได้ นอกจากนั้นผู้มีความเชื่อถือทั้งหลาย ไม่ว่าจะถือศาสนาอะไร ย่อมเคยได้ยินพระสุรเสียงของพระเป็นเจ้าสำแดงพระองค์เป็นภาษาของสรรคสัตว์เสมอ. แต่เมื่อลืมพระเป็นเจ้าแล้ว เราก็เข้าใจเรื่องสรรคสัตว์ไม่ได้.

๓๗.  การปฏิบัติงานของมนุษย์เสียไปเพราะบาป

๑. พระคัมภีร์สอนชาติมนุษย์ตรงกับที่ประสบการณ์ในยุคต่าง ๆ ยืนยันว่า  ความเจริญก้าวหน้าเป็นสิ่งดีมีประโยชน์มากสำหรับมนุษย์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ประจญให้มนุษย์ทำผิดอย่างร้ายแรงด้วย  เพราะเมื่อระเบียบของสิ่งมีค่าปั่นป่วนและความชั่วกับความดีปนกันยุ่งแล้วมนุษย์แต่ละคนและที่เป็นหมู่คณะก็พากันคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้อื่น เพราะฉะนั้นโลกจึงมิใช่สถานที่มนุษย์อยู่กันฉันพี่น้องอย่างแท้จริง  ส่วนอำนาจซึ่งมนุษย์มีเพิ่มขึ้นกลับคุกคามจะทำลายมนุษยชาติให้วอดวายไป.

๒. มีการรบอย่าฉกาจฉกรรจ์สู้กับอำนาจของความผิดตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ การรบนั้นได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลาเริ่มแรกของโลก และตามที่พระคริสตเจ้าตรัส  จะดำรงอยู่จนวันสุดท้าย. มนุษย์ได้เข้าพัวพันในการสู้รบนี้แล้วจะต้องสู้รบตลอดไปเพื่อตั้งมั่นอยู่ในความดี  และจะประพฤติอย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่ได้ ถ้าไม่มีความวิริยอุตสาหะของตนเองซึ่งมนุษย์ต้องค่อย ๆ รู้จักใช้และจัดให้เป็นระเบียบ การเรียกร้องของความอิสระเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ทีเดียว และความเป็นอิสระดังกล่าวมิใช่แต่มนุษย์ในสมัยของเราเรียกร้องเองเท่านั้น และอาศัยพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าช่วย.

๓. เพราะเหตุนี้ พระศาสนจักรของพระคริสตเจ้าซึ่งไว้ใจในพระปรีชาญาณของพระเป็นเจ้า ถึงจะรับรู้ว่า ความก้าวหน้าของมนุษย์อาจเป็นประโยชน์แก่ความสุขอันแท้จริงของมนุษย์  แต่อดไม่ได้ที่จะนำวาทะของนักบุญเปาโลมากล่าวย้ำว่า “อย่าถือตามแบบชีวิตของโลก” (รม. ๑๒:๒) คืออย่าถือตามจิตตารมณ์โอ้อวดและชั่วช้าซึ่งเปลี่ยนการปฏิบัติงานของมนุษย์ที่มีไว้สำหรับรับใช้พระเป็นเจ้าและมนุษย์ให้กลายเป็นเครื่องมือทำบาป.

๔. ถ้าใครถามว่าจะเอาชนะความทุกข์น่าสมเพชนั้นได้อย่างไร คริสตศาสนิกชนทั้งหลายจะบอกว่า กิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ที่ทุกวันตกอยู่ในอันตรายเพราะความหยิ่งทะนงและรักตนเองจนเกินไป ต้องล้างชำระให้สะอาดจนถึงขั้นดีพร้อมด้วยกางเขนและการกลับคืนพระชนม์ของพระคริสตเจ้า เพราะมนุษย์ที่พระคริสตเจ้าทรงไถ่และกลายเป็นสรรคสัตว์ใหม่ด้วยเดชะพระจิตนั้น ย่อมรักสิ่งที่พระเป็นเจ้า  เขาเห็นสิ่งเหล่านั้นเหมือนกับเลื่อนไหลมาจากพระหัตถ์ของพระองค์และเขาก็เคารพเขาขอบพระคุณพระเจ้าผู้มีบุญคุณที่ประทานสิ่งเหล่านี้  เขาใช้และเสวยประโยชน์สิ่งต่าง ๆ โดยมีจิตตารมณ์ถือความยากจนและเสรีภาพ เช่นนี้แหละ  เขาได้เป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง เหมือนใครคนหนึ่งที่ดูประหนึ่งไม่มีอะไรแต่ที่แท้มีทุกอย่าง (ตามที่นักบุญเปาโลกล่าวว่า) “เพราะของทุกอย่างเป็นของท่าน แต่ท่านเป็นของพระคริสตเจ้า และ        พระคริสตเจ้าเป็นของพระเป็นเจ้า” (๑ คร. ๓:๒๒–๒๓)

๓๘.  การปฏิบัติงานของมนุษย์บรรลุถึงควมดีพร้อมในรหัสธรรมปัสกา

๑. พระวจนาถของพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง  ได้มารับเอากายและเสด็จมาประทับบนแผ่นดินของมนุษย์  พระองค์ทรงเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์  เสด็จเข้ามาในประวัติศาสตร์ของโลก  รับเอาและสรุปประวัติศาสตร์นั้นในพระองค์  พระองค์เองทรงเป็นผู้เผยให้เราทราบว่า “พระเป็นเจ้าเป็นองค์ความรัก” (๑ ยน. ๔:๘) และทรงสอนเราในขณะเดียวกันว่าบัญญัติใหม่ที่สั่งให้รักคือ  กฎขั้นมูลฐานแห่งความดีพร้อมของมนุษย์  และเพราะเหตุนี้จึงเป็นกฎขั้นมูลฐานของการเปลี่ยนโฉมโลกด้วยดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้ผู้ที่เชื่อถึงความรักของพระเป็นเจ้า รู้แน่ว่าหนทางแห่งความรักเปิดรับมนุษย์ทุกคน  และความพยายามที่จะฟื้นฟูภารดรภาพขึ้นทั่วไปมิได้ไร้ผล  พระองค์ยังทรงเตือนเราด้วยว่า ความรักนี้มิใช่ต้องบำเพ็ญแต่ในกิจการใหญ่โตเท่านั้นแต่ต้องบำเพ็ญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ปกติธรรมดาของชีวิตด้วย.  เมื่อสมัครยอมพลีพระชนม์อุทิศแก่ชาวเราคนบาป  พระองค์ทรงเป็นพระฉบับสอนเราว่า เราก็ต้องแบกกางเขนที่เนื้อหนังและโลกวางลงบนบ่าของผู้ที่แสวงหาความยุติธรรมและสันติสุข.  เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์เจ้านายหลังจากกลับคืนพระชนม์แล้ว  พระคริสตเจ้าผู้ทรงได้รับอำนาจทุกอย่างทั้งในสวรรค์และแผ่นดิน ต่อไปก็ทรงทำการสำแดงฤทธิ์ในจิตใจของมนุษย์ด้วยอานุภาพของพระจิต. พระองค์ไม่เพียงแต่ปลุกใจให้มีความปรารถนาอยากได้ชีวิตหน้าเท่านั้น  แต่เมื่อปลุกใจดังนั้นเอง  พระองค์ยังทรงกระตุ้น ชำระและส่งเสริมความใฝ่ฝันอันมีน้ำใจกว้างขวางซึ่งผลักดันมนุษยชาติให้บำรุงความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้นและให้บังคับโลกทั้งโลกให้เป็นไปตามจุดหมายนี้  แต่พระคุณของพระจิตมีหลายอย่างต่างประการ  พระองค์ทรงเรียกบางคนให้ประกาศอย่างเปิดเผยถึงความปรารถนาอยากไปอยู่สวรรค์และให้รักษาความปรารถนานั้นให้คงแก่กล้าไว้ในมนุษยชาติ  แต่พระองค์ก็ทรงเรียกบางคนให้อุทิศตนทำการรับใช้มนุษย์ทางโลก  เท่ากับเป็นการเตรียมปัจจัยไว้สำหรับอาณาจักรสวรรค์.  อย่างไรก็ดีพระองค์โปรดให้ทุกคนเป็นอิสระ  เพื่อว่าเมื่อสลัดทิ้งความรักตนเองและรวบรวมเอากำลังทางโลกทั้งหมดมารับใช้ชีวิตมนุษย์แล้วเขาจะได้มุ่งไปหาอนาคต  เมื่อมนุษย์ชาติเองจะได้เป็นของถวายที่สบพระทัยพระเป็นเจ้า.

๒. พระคริสตเจ้าได้ทรงทิ้งสะเบียงเดินทางและมัดจำความหวังนี้ไว้ให้แก่ศิษย์ของพระองค์ในศีลแห่งความเชื่อ  ในศีลนั้นของธรรมชาติบางอย่างซึ่งมนุษย์เพาะปลูกก็กลับกลายเป็นพระกายและพระโลหิตอันประเสริฐของพระองค์ นับเป็นการกินเลี้ยงที่แสดงความร่วมสนิทกันฉันพี่น้องและเป็นการได้ร่วมการเลี้ยงในสวรรค์ล่วงหน้า

๓๙.  แผ่นดินใหม่และฟ้าใหม่

๑. เราไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาสิ้นสุดของโลกและของมนุษยชาติ เราไม่ทราบว่าจักรวาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร.  โลกแบบที่เรารู้จักนี้ซึ่งเสียโฉมไปเพราะบาปจะล่วงพ้นไปแน่  แต่เรารู้ว่าพระเป็นเจ้าทรงเตรียมที่อยู่ใหม่และแผ่นดินใหม่ให้เรา : ในแผ่นดินใหม่นั้นความยุติธรรมจะสถิตอยู่และความสุขจะมีเกินกว่าที่ใจมนุษย์จะนึกคิดปรารถนาได้. เวลานั้นแหละ ความตายจะพ่ายแพ้ ผู้ที่เป็นบุตรของพระเป็นเจ้าจะกลับคืนชีพขึ้นมาในพระคริสตเจ้าและสิ่งที่หว่านลงไปดูอ่อนแดและเน่าเปื่อย  ก็จะกลับไม่รู้จักเน่าเปื่อย.  ความรักและกจิการของความรักขะดำรงอยู่และสรรคสัตว์ทุกอย่างที่พระเป็นเจ้าได้ทรงสร้างมาสำหรับมนุษย์จะหลุดพ้นจากความเป็นทาสของการโอ้อวด.

๒. แน่ละ  เรารู้ว่าไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่มนุษย์ที่จะได้จักรวาลเป็นกรรมสิทธิ์ ถ้าหากตนเองจะต้องพินาศ แต่ถึงกระนั้นความหวังที่จะได้แผ่นดินใหม่ไม่ควรจะดับ แต่ควรจะปลุกความห่วงใยของเราที่จะบำรุงแผ่นดินปัจจุบันนี้ อันเป็นที่ ๆ กายมนุษยชาติใหม่กำลังเจริญเติบโตและพอจะทำให้เราเห็นลาง ๆ ว่า เวลาในชีวิตภายหน้าจะเป็นอย่างไร  เพราะฉะนั้น  ถึงแม้ต้องระมัดระวังแยกความเจริญในโลกนี้กับการแพร่ขยายพระอาณาจักรแห่งพระคริสตเจ้า ความเจริญก็มีความสำคัญสำหรับพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้ามาก ตามส่วนที่สามารถจะช่วยจัดระเบียบของสังคมมนุษย์ให้ดีขึ้น.

๓. ด้วยว่าศักดิ์ศรีของมนุษย์ก็ดี  การร่วมสนิทกันฉันพี่น้องก็ดี  และเสรีภาพก็ดี  สิ่งมีค่าเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีที่เกิดจากธรรมชาติและความขยันหมั่นเพียรของเรานั้น  เมื่อเราเผยแพร่สิ่งมีค่าเหล่านี้ในโลกตามพระบัญชาของพระคริสตเจ้าและโดยอาศัยพระจิตของพระองค์แล้ว เราจะพบสิ่งเหล่านี้ใหม่ในภายหลัง แต่ทว่าในสภาพหมดจดไม่มีตำหนิใด ๆ เปล่งปลั่งและเปลี่ยนรูปไป  เมื่อพระคริสตเจ้าจะมอบแด่พระบิดา “ซึ่งอาณาจักรชั่วนิรันดรและสากล  เป็นอาณาจักรแห่งความจริงและชีวิตเป็นอาณาจักรแห่งความศักดิ์สิทธิ์และพระหรรษทาน เป็นอาณาจักรแห่งความยุติธรรม  ความรักและสันติสุข”.  อาณาจักรดังกล่าวอยู่ในโลกนี้อย่างลึกลับแล้ว และบรรจุถึงความดีพร้อมเมื่อพระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมา.