หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พระธรรมนูญ พระสมณกฤษฎีกาและ
คำแถลงแห่งสภาสังคายนา  เล่มที่ 5

บทที่  1 : ศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้
ภาคที่หนึ่ง  :  พระศาสนจักรกับกระแสเรียกของมนุษย์

๑๑.  ทำตามการดลใจของพระจิต
  ๑. เพราะมีความเชื่อและรู้ว่าพระจิตของพระเจ้าซึ่งกระจายอยู่เต็มโลกนำตนไป ประชากรของ พระเป็นเจ้าจึงพยายามมองดูว่า ในเหตุการณ์ ในข้อเรียกร้อง และในความต้องการในสมัยของเรา  ซึ่งตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วยนั้น  มีเครื่องหมายอะไรแสดงว่าพระเป็นเจ้าสถิตอยู่หรือมีพระประสงค์อะไร เพราะว่าความเชื่อส่องแสงสว่างใหม่ทำให้เราเข้าใจเรื่องทุกอย่างและทำให้เรารู้น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเกี่ยวกับ    กระแสเรียกทั่วไปของมนุษย์ ฉะนั้นจึงนำให้จิตใจไปหาทางแก้ที่เป็นมนุษย์จริง ๆ

๒. ก่อนอื่นทั้งปวง  สภาสังคายนาตั้งใจจะใช้ความสว่างนี้พิจารณาสิ่งมีค่าต่าง ๆ ซึ่งคนในสมัยนี้  ยกย่องมากที่สุด และแสดงให้เห็นว่ามีกำเนิดมาจากพระเป็นเจ้า เพราะสิ่งมีค่าเหล่านี้ซึ่งเกิดจากสติปัญญาที่พระเป็นเจ้าประทานแก่มนุษย์ เป็นสิ่งดีนักหนา แต่บ่อย ๆ ทีเดียว ใจชั่วช้าเสียไปของมนุษย์ได้ชักจุงให้มันออกไปจากระเบียบที่จัดไว้เป็นอย่างดีแล้ว  สิ่งมีค่าเหล่านั้นจึงพึงได้รับการล้างชำระให้สะอาด

๓. พระศาสนจักรมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรเกี่ยวกับมนุษย์ ? เห็นว่าควรเสนอแนะอะไรบ้างสำหรับสร้างสังคมในสมัยปัจจุบันนี้ขึ้น ? กิจการของมนุษย์ในโลกมีความหมายสุดท้ายเป็นประการใด? ปัญหา    ทั้งหมดนี้ต้องการคำตอบ ถ้ามีคำตอบแล้ว ก็จะเห็นชัดขึ้นว่าประชากรของพระเป็นเจ้ากับชาติมนุษย์ซึ่งประชากรของพระเป็นเจ้าปะปนอยู่ด้วย  จะต้องรับใช้ช่วยเหลือกันและกัน แล้วดังนี้ ก็จะเห็นประจักษ์ว่า ภารกิจของพระศาสนจักรมีลักษณะเกี่ยวกับศาสนา และเมื่อมีลักษณะเกี่ยวกับศาสนา ก็มีลักษณะเกี่ยวกับมนุษย์อย่างสูงสุด
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
๑๒.  มนุษย์สร้างมาตามพระฉายาของพระเป็นเจ้า

๑. ผู้มีความเชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อส่วนมากต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ของทุกอย่างในโลกต้อยจัดไว้สำหรับมนุษย์เหมือนดังจัดไว้สำหรับสิ่งที่เป็นศูนย์กลางและยอดของมัน

๒. แต่มนุษย์เป็นอะไรเล่า ?  มนุษย์เคยออกและก็ยังออกความเห็นเกี่ยวกับตนไปหลายทางแตกต่างกันและขัดแย้งกันเองด้วย  ตามความเห็นเหล่านั้น บ่อย ๆ มนุษย์ยกตนขึ้นสูง ถือเป็นกฎบรรทัดฐานสูงสุด  หรือมิฉะนั้นก็ลดตัวลงต่ำจนถึงกับเสียใจสิ้นหวัง  เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงมีความสงสัยและความกระวนกระวายใจ อันปัญหายุ่งยากเหล่านี้  พระศาสนจักรเข้าใจ พระศาสนจักรจึงให้คำตอบปัญหายุ่งยากเหล่านี้ได้  คำตอบนั้นจะบรรยายสภาพแท้จริงของมนุษย์ จะตีแผ่ความอ่อนแอของมนุษย์  แต่ในขณะเดียวกันจะรับรู้ศักดิ์ศรีและกระแสเรียกของมนุษย์ได้อย่างถูกต้องด้วย

๓. พระคัมภีร์สอนว่า มนุษย์ได้ถูกสร้างมา “ตามพระฉายาของพระเป็นเจ้า” ได้ตั้งมนุษย์ให้เป็นนาย สามารถรู้จักและรักพระผู้สร้างตน ปกครองและใช้สรรพสิ่งเหล่านั้น  และพระเหนือสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก สำหรับเพิ่มพระเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า “มนุษย์เป็นอะไรหนอ พระองค์จึงทรงอุตส่าห์ระลึกถึง ? บุตรมนุษย์เป็นใครกัน พระองค์จึงทรงห่วงใย ? พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ด้อยกว่าเทวดาหน่อยเดียว  ประทานทั้งเกรียติและความงามสง่า ทรงตั้งให้เป็นผู้ปกครองงานแห่งพระหัตถ์พระองค์ทรงมอบทุกสิ่งไว้ใต้เท้ามนุษย์” (สดด. ๘:๕-๗)

๔. แต่พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาให้อยู่ลำพังคนเดียว ตั้งแต่ปฐมกาล “พระองค์ได้ทรงสร้างเขาให้เป็นชายและหญิง” (ปฐก. ๑ : ๒๗)  การที่ชายกับหญิงอยู่ด้วยกันนี้เป็นแบบแรกของการที่บุคคลอยู่ร่วมชิดสนิทกัน  เพราะมนุษย์นั้นเป็นสัตว์อยู่เป็นสังคมโดยมีธรรมชาติเป็นเช่นนั้นอย่างลึกซึ้งและถ้าไม่มีการติดต่อกับผู้อื่น มนุษย์ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้และจะพัฒนาคุณสมบัติของตนให้เจริญงอกงามก็ไม่ได้

๕. เพราะฉะนั้น  ตามที่เราอ่านในพระคัมภีร์ต่อไปพระเป็นเจ้า “ได้ทรงพิจารณาดูสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างก็ทางเห็นว่าดีนักหนา” (ปฐก. ๑ : ๓๑)

๑๓.  บาป

๑. พระเป็นเจ้าได้ทรงตั้งให้มนุษย์อยู่ในความชอบธรรมแต่เพราะถูกมารประจญ มนุษย์ใช้เสรีภาพของตนไปในทางที่ผิดตั้งแต่ต้นประวัติศาสตร์ทีเดียว โดยแข็งข้อต่อสู้พระเป็นเจ้าและอยากจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของตนโดยไม่ต้องพึ่งพระองค์แม้ว่าเขารู้จักพระเป็นเจ้า  แต่จิตใจอันโง่โฉดเขลามืดบอดไปแล้วเขาปรนนิบัติรับใช้สรรพสัตว์แทนที่จะปรนบัติรับใช้พระผู้สร้าง  เรื่องที่เรารู้จากการไขแสดงของ        พระเป็นเจ้านั้น  ก็ตรงกับที่เรารู้สึกด้วยตนเอง กล่าวคือ มนุษย์เรา  ถ้าสำรวจตรวจดูใจของตนก็จะพบว่าลำเอียงไปทางความชั่วด้วยเหมือนกันและจมอยู่ในความชั่วมากมายหลายประการซึ่งจะมาจากพระผู้สร้างที่ทรงความดีไม่ได้ เมื่อมนุษย์ปฏิเสธบ่อย ๆ ไม่ยอมรับพระเป็นเจ้าเป็นต้นเดิมของตน มนุษย์ก็เท่ากับทำลายระเบียบที่จะพาตัวไปถึงจุดหมายปลายทาง และในขณะเดียวกันเท่ากับเป็นการทำลายความประสานกลมกลืนกันทุกอย่าง  ทั้งที่เกี่ยวกับตนเองทั้งที่เกี่ยวกับมนุษย์คนอื่นและสรรพสัตว์ทั้งปวง

๒. เพราะฉะนั้น  มนุษย์จึงถูกแบ่งแยกอยู่ในตัวของตนเอง  ผลที่เกิดก็คือ ชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์  ไม่ว่าชีวิตของแต่ละคนหรือของส่วนรวม ปรากฏเป็นการสู้รบอย่างน่าอเนจอนาถระหว่างความชั่วกับความดี  ระหว่างความสว่างกับความมืด ยิ่งกว่านั้น มนุษย์พบว่าตนไม่สามารถจะเอาชนะการจู่โจมของความชั่วด้วยตนเองได้  ดังนั้น ทุก ๆ คนจึงรู้สึกเหมือนถูกโซ่ล่ามไว้  แต่องค์พระคริสตเจ้าเองได้เสด็จมาทรงกอบกู้และชุบกำลังมนุษย์  โดยฟื้นฟูเขาภายในและจับเจ้าแห่งโลกนี้ (เทียบ ยน. ๑๒ : ๓) ซึ่งยึดเขาไว้ในความเป็นทาสของบาป โยนออกไปข้างนอก  เพราะบาปนั้นทำให้มนุษย์ตกต่ำ คอยขัดขวางมิให้บรรลุถึงความสมบูรณ์พูนสุข

๓. กระแสเรียกอันสูงส่งของมนุษย์และความทุกข์ยากอย่างสุดซึ้ง  ซึ่งมนุษย์ประสบนั้น ได้รับการอธิบายอย่างแจ่มกระจ่างด้วยการไขแสดงของพระเป็นเจ้านี้แหละ

๑๔.  ส่วนประกอบของมนุษย์

๑. มนุษย์ประกอบด้วยกายและวิญญาณ แต่รวมเป็นบุคคลคนเดียว แต่ในสภาที่เป็นกายนั้นเอง  มนุษย์ก็รวมเอาส่วนประกอบของโลกวัตถุต่าง ๆ ไว้ในตัว  จนถือได้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งประเสริฐกว่าหมดในโลกวัตถุ  และโลกวัตถุอาจส่งเสียงสรรเสริญพระผู้สร้างได้อย่างอิสระโดยอาศัยมนุษย์นี้และ  ฉะนั้น จึงห้ามมิให้มนุษย์ดูหมิ่นร่างกาย แต่ตรงกันข้ามต้องยกย่องและเคารพร่างกายของตน ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงสร้างมาและคืนชีพขึ้นมาในวันสุดท้าย.  อย่างไรก็ดี เพราะถูกบาปทำร้ายจนเป็นบาดแผล มนุษย์รู้สึกการขัดขืนแข็งขันของร่างกาย ดังนั้น  เป็นศักดิ์ศรีของมนุษย์เองที่เรียกร้องให้มนุษย์ถวายเกียรติแด่พระเป็นเจ้า โดยใช้ร่างกายของตน โดยไม่ปลดปล่อยให้ร่างกายนั้นปฏิบัติตามความลำเอียงชั่วในใจของตน.

๒. ความจริง มนุษย์ไม่ได้คิดผิด เมื่อเชื่อว่าตนประเสริฐกว่าสิ่งที่มีร่างกายต่าง ๆ และถือว่าตนไม่เพียงแต่เป็นเศษเล็ก ๆ อันหนึ่งในธรรมชาติหรือส่วนประกอบที่ไม่มีชื่อในบ้านเมืองของมนุษย์.  แท้จริง มนุษย์ประเสริฐกว่าจักรวาลที่เป็นวัตถุก็เพราะมีสิ่งที่อยู่ภายในตน.  อันว่าเมื่อมนุษย์หันมาพิจารณาในใจตนนั้น ก็มาหยุดอยู่ที่ส่วนลึกภายในตนนี้เอง. ภายในใจมนุษย์นั้น   พระเป็นเจ้าผู้ทรงสำรวจตรวจดูใจของคนทั่วไปทรงคอยท่าเขาอยู่  แล้วเขาก็ตัดสินใจเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเองเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์.  ด้วยเหตุนี้ เมื่อสำนึกว่าในตนมีวิญญาณที่เป็นจิตและไม่รู้จักตาย เขาก็ไม่ถูกหลอกให้หลงไปตามเรื่องคิดประดิษฐ์หลอกลวงที่เกิดจากสภาพทางกายและสังคมเท่านั้น แต่ตรงกันข้ามกลับรู้ความตื้นลึกหนาบางของความจริงอย่างถูกต้องทีเดียว.

๑๕.  ศักดิ์ศรีของสติปัญญา  ความจริง  และความปรีชาฉลาด

๑. เนื่องจากมนุษย์มีส่วนได้รับสติปัญญาของพระเป็นเจ้า  มนุษย์คิดถูกแล้วที่ถือว่าตนประเสริฐกว่าจักรวาลที่เป็นวัตถุเพราะมีสติปัญญา.  แน่นอน  มนุษย์เจริญก้าวหน้ามากในวิชาที่ใช้ความสังเกต  วิชาการ และศิลปศาสตร์  โดยฝึกฝนสติปัญญาอย่างขยันขันแข็งมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ. ทุกวันนี้  มนุษย์ได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม  เป็นต้นในการค้นพบและพิชิตโลกวัตถุ  แต่โลกก็หาและพบความจริงที่สมบูรณ์กว่าแต่ก่อนอยู่เสมอ  เพราะสติปัญญาไม่ศึกษาแต่เฉพาะปรากฏการณ์ภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น  แต่ยังสามารถสืบไปถึงความจริงที่เข้าใจได้อย่างแน่นอนแท้จริง  แม้ว่าสติปัญญานั้นจะมืดมัวและอ่อนไปเพราะผลของบาปก็ตาม.

๒. ที่สุด ธรรมชาติที่รู้จักคิดของมนุษย์ย่อมดีพร้อมและต้องดีพร้อมได้ด้วยความปรีชาฉลาด.  ความปรีชาฉลาดย่อมชักจูงอย่างนิ่มนวลให้จิตใจมนุษย์แสวงหาและรักความจริงและความดี  และคนที่ปรีชาฉลาดนั้น เมื่อเห็นของที่เห็นได้แล้ว ก็จะหันไปหาสิ่งที่แลเห็นไม่ได้ต่อไป.

๓. สมัยของเราต้องการความปรีชาฉลาดแบบนี้ยิ่งกว่ายุคก่อน ๆ เพื่อทำให้สิ่งใหม่ ๆ ที่มนุษย์ค้นพบได้เหมาะสมกับมนุษย์ยิ่งขึ้น  เพราะอนาคตของโลกน่ากลัวจะมีอันตรายถ้าไม่มีคนที่ปรีชาฉลาดกว่านี้.  นอกจากนั้น  พึงสังเกตด้วยว่า  ชาติหลายชาติ  แม้จะจนทรัพย์สินวัตถุ แต่รวยความฉลาด ก็อาจจะช่วยชาติต่าง ๆ ในเรื่องนี้ได้เป็นอันมาก.

๔. ถ้าพระจิตเจ้าโปรด  มนุษย์ย่อมได้เพ่งพินิจและลิ้มชิมอัตถ์ลึกซึ้งเรื่องน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าอาศัยความเชื่อ.

๑๖.  ศักดิ์ศรีของมโนธรรม

ในส่วนลึกของมโนธรรม  มนุษย์ค้นพบบัญญัติประการหนึ่งที่เขามิได้เป็นผู้ตั้งขึ้นให้ตัวเองถือ แต่เขาจำเป็นต้องถือ. เสียงของกฎบัญญัตินี้ที่คอยเร่งเร้าให้มนุษย์รักและประกอบความดีกับหนีความชั่ว ย่อมดังขึ้นในใจในเวลาที่เหมาะเจาะว่า “จงทำสิ่งนี้ อย่าทำสิ่งนั้น”  เพราะมนุษย์มีกฎที่พระเป็นเจ้าทรงจารึกไว้ในใจของตนและเป็นศักดิ์ศรีของมนุษย์จะต้องถือ และมนุษย์ก็จะถูกพิจารณาตัดสินตามกฎนั้น.  มโนธรรมเป็นศูนย์ที่ลี้ลับที่สุดของมนุษย์  เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์อยู่สองต่อสองกับพระเป็นเจ้าและได้ยินเสียงของพระองค์ภายในใจของตน  นับว่ากฎบัญญัติซึ่งต้องปฏิบัติเพื่อแสดงความรักต่อพระเป็นเจ้าแลเพื่อนมนุษย์นี้  เป็นที่รู้ได้อย่างน่าประหลาดด้วยมโนธรรม.  คริสตศาสนิกชนร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมนุษย์อื่น ได้ด้วยการถือซื่อตรงต่อมโนธรรม  เพื่อแสวงหาความจริงด้วยกันและเพื่อขบปัญหาศีลธรรมมากมายซึ่งเกิดขึ้นทั้งในชีวิตของแต่ละคนและในชีวิตของสังคม. ฉะนั้นยิ่งมโนธรรมเที่ยงตรงมีชัยเพียงใด บุคคลและหมู่คนก็ยิ่งละเว้นจากการตัดสินใจอย่างตาบอด และพยายามปฏิบัติตามกฎของศีลธรรมเพียงนั้นด้วย อย่างไรก็ดี  มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่มโนธรรมหลงผิดไปเพราะไม่รู้อย่างไม่มีทางแก้ได้  แต่ศักดิ์ศรีของมโนธรรมก็ยังคงมีอยู่.  แต่จะกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ถ้ามนุษย์เอาใจใส่แต่น้อยที่จะแสวงหาความจริงกับความดี  และถ้าความเคยชินในบาปค่อย ๆ ทำให้มโนธรรมเกือบจะมือบอดไป.

๑๗.  เสรีภาพเป็นสิ่งประเสริฐสักเพียงใด

แต่มนุษย์จะหันไปประกอบความดีไม่ได้ นอกจากจะสมัครใจทำเท่านั้น. เสรีภาพแบบนี้  มนุษย์ในสมัยของเราถือเป็นสิ่งมีค่ามากและพยายามแสวงหาด้วยความใจจดจ่อ และเขาก็ทำถูกแล้ว  แต่บ่อย ๆ เขาส่งเสริมเสรีภาพนั้นอย่างผิด ๆ เหมือนกับว่าจะทำอะไรก็ได้ขอแต่ให้ชอบใจ แม้ว่าเป็นความชั่ว.  แต่ทว่าเสรีภาพที่แท้จริงนั้นเป็นเครื่องหมายอันประเสริฐที่แสดงพระฉายาของพระเป็นเจ้าในตัวมนุษย์  เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยปล่อยให้มนุษย์คิดพิจารณาไตร่ตรองเอง จะได้แสวงหาพระผู้สร้างด้วยตนเอง  แล้วบรรลุถึงความสมบูรณ์พูนสุข โดยสมัครใจจงรักภักดีต่อพระองค์.  ฉะนั้น ศักดิ์ศรีของมนุษย์จึงเรียกร้องให้เขาทำตามที่ได้เลือกอย่างรู้สำนึกและสมัครใจ  คือ ทำเพราะถูกกระตุ้นจากภายในตนเอง  ไม่ใช่เพราะแรงดันภายในอย่างตาบอดหรือเพราะถูกบังคับจากภายนอก.  มนุษย์ย่อมบรรลุถึงศักดิ์ศรีนี้  เมื่อช่วยตนพ้นจากความเป็นทาสตัณหา สมัครใจเลือกทำความดี เดินมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางของตน แล้วหาเครื่องมืออันเหมาะสมด้วยความเอาใจใส่ฉลาดอย่างแท้จริง.  แต่เสรีภาพของมนุษย์ซึ่งถูกบาปทำเสียหาย  จะทำให้การมุ่งไปหาพระเป็นเจ้านี้มีผลอย่างเต็มที่ไม่ได้  นอกจากอาศัยพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าช่วย และเราแต่ละคนจะต้องให้การเกี่ยวกับชีวิตของเราที่ศาลของพระเป็นเจ้าตามที่เราได้ทำดีหรือทำชั่ว.

๑๘.  อัตถ์อันลึกซึ้งเรื่องความตาย

๑. ปัญหาเรื่องสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ พอถึงตอนที่จะพูดถึงความตาย ก็จัดเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากกว่าตอนใด ๆ ทั้งหมด. มนุษย์นั้นได้รับความทรมานมิใช่เพราะความเจ็บปวดหรือเพราะร่างกายทรุดโทรมไปเป็นลำดับเท่านั้น  แต่เฉพาะอย่างยิ่งเพราะกลัวว่าตนจะดับสูญหายไปตลอดกาล. การที่เขาขยะแขยงไม่ยอมเชื่อว่า ตัวของเขาจะถูกทำลายและสูญไปทั้งหมดตลอดไปนั้น  ต้องนับว่าเป็นความเข้าใจถูกต้องที่เกิดจากสัญชาตญาณในใจของเขา. เชื้อนิรันดรภาพซึ่งมนุษย์มีอยู่ในตัวและจะลดลงเป็นแต่วัตถุอย่างเดียวไม่ได้นั้น  ทำให้มนุษย์แข็งข้อต่อสู้กับความตาย  ความพยายามทุกอย่างของวิชาการ  แม้จะมีประโยชน์สักเพียงใด ย่อมไม่สามารถจะระงับความกระวนกระวายของมนุษย์ได้  เพราะการต่ออายุที่ชีววิทยาทำได้นั้น ไม่สามารถเป็นที่จุใจความปรารถนาจะมีชีวิตภายหน้าซึ่งฝังอยู่ในใจของเขาอย่างถอนไม่ขึ้น.

๒. แต่ถึงแม้เรื่องความตายเป็นเรื่องพ้นปัญญาของบุคคลทุกคน  พระศาสนจักรซึ่งรู้จักการแก้ไขแสดงของพระเป็นเจ้า  ก็ยืนยันว่า พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์มาสำหรับมีความสุขในตอนปลายหลังจากความทุกขเวทนาในโลกนี้.  นอกจากนั้น ความเชื่อของคริสตชนสอนว่าความตายฝ่ายร่างกายซึ่งถ้ามนุษย์ไม่ได้ทำบาปก็จะพ้นนั้น วันหนึ่งจะถูกปราบให้พ่ายแพ้เมื่อพระผู้ไถ่ผู้ทรงพระเมตตาและทรงฤทธิ์ทุกประการจะประทานความรอดซึ่งเสียไปเพราะความผิดของมนุษย์  เพราะพระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกและยังกำลังเรียกมนุษย์ให้มาจงรักภักดีต่อพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ  โดยร่วมมีส่วนตลอดไปในชีวิตพระเจ้าอันไม่รู้จักเสื่อมเสียของพระองค์.  พระคริสตเจ้าทรงได้ชัยชนะนี้มาเมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพ  โดยช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความตายด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์.  สำหรับมนุษย์ทุกคนไม่ว่าใครที่ไตร่ตรองคิดดูความเชื่อที่มีหลักอันแข็งแรง สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับอนาคตของเราได้เมื่อเขากระวนกระวาย และในขณะเดียวกันความเชื่อสามารถช่วยให้เราร่วมชิดสนิทในพระคริสตเจ้ากับพี่น้องที่รักของเราผู้ล่วงลับไป  โดยให้ความหวังเราว่า  เขาได้พบชีวิตที่แท้จริงใกล้พระเป็นเจ้าแล้ว.

๑๙.  รูปต่าง ๆ และรากเง่าของลัทธิอเทวนิยม

๑. แง่ที่สูงที่สุดของศักดิ์ศรีมนุษย์ก็คือ การที่มนุษย์ได้ถูกเรียกให้มาสนิทกับพระเป็นเจ้า.  มนุษย์ได้รับเชิญให้มามีความสัมพันธ์กับพระองค์นับตั้งแต่มีมนุษย์ขึ้น เพราะมนุษย์มีได้ได้ถ้าพระเป็นเจ้าไม่ทรงสร้างมาด้วยความรักและไม่บำรุงรักษาไว้เสมอด้วยความรัก.  มนุษย์จะมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ตามความจริงไม่ได้ถ้าไม่สมัครใจยอมรับรู้ความรักนั้นและมอบฝากตัวกับพระผู้สร้างตนมา.  แต่มนุษย์เป็นอันมากในสมัยเราไม่เข้าใจเลย  หรือถึงกับปฏิเสธอย่างเปิดเผยไม่ยอมรับรู้ว่า  มนุษย์มีความสัมพันธ์อย่างสนิทถึงขึ้นมีชีวิตกับพระเป็นเจ้า จนกระทั่งต้องนับลัทธิอเทวนิยมเข้าในจำนวนสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดในสมัยของเรา และต้องทำการพิจารณาอย่างตั้งใจที่สุด.

๒. ความไม่เชื่อถึงพระเจ้ามีหลายอย่าง  แตกต่างกันอย่างลิบลับ เราเรียกรวม ๆ ว่า  อเทวนิยม  คือ บางคนประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่มีพระเป็นเจ้า  แต่บางคนคิดว่ามนุษย์จะยืนยันอะไรอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าไม่ได้  และยังมีบางคนพิจารณาปัญหาเรื่องพระเป็นเจ้าเหมือนกันว่าปัญหานี้ไม่มีความสำคัญอะไร.  หลายคนทำเกินขอบเขตความรู้ที่รู้อย่างแน่นอน อ้างว่าทุกอย่างอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างเดียว  หรือในทางกลับกัน  ไม่ยอมรับความจริงอะไรสักอย่างว่าเป็นความจริงอย่างเด็ดขาด. บางคนยกย่องมนุษย์เสียจนเหมือนกับว่าหมดความเชื่อถึงพระเป็นเจ้า  เพราะดูเหมือนเขาสาละวนที่จะยืนยันถึงมนุษย์ยิ่งกว่าจะไม่เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้า. บางคนมีความเข้าใจพระเป็นเจ้าผิดจนว่าพระที่เขาคิดขึ้นและไม่ยอมรับนั้น  ไม่เหมือนกับพระที่เล่าในพระวรสารแต่อย่างใดเลย.  บางคนไม่ยอมพูดเลียบเคียงถึงปัญหาเรื่องพระเป็นเจ้าด้วยซ้ำไป  ดูเหมือนว่าเขาไม่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องศาสนา  และมองไม่เห็นว่า เขาจะต้องห่วงใยถึงเรื่องศาสนาไปทำไม. นอกจากนั้นบ่อยทีเดียวอเทวนิยมเกิดจากความไม่พอใจอย่างรุนแรงที่เห็นมีความชั่วอยู่ในโลก  หรือเกิดจากการที่มีคนคิดไม่ถูกว่า อุดมคติบางอย่างของมนุษย์มีลักษณะเด็กขาดจนถืออุดมคติเหล่านั้นเป็นพระเจ้า. อารยธรรมสมัยใหม่เองก็อาจทำให้มนุษย์เข้าใกล้พระเป็นเจ้าได้ยากขึ้น มิใช่เพราะอารยธรรมสมัยใหม่มีลักษณะเป็นเช่นนั้น  แต่เพราะมันพัวพันกับสิ่งของในโลกนี้จนเกินไป.

๓. แน่นอน ผู้ที่จงใจพยายามกำจัดพระเป็นเจ้าออกจากดวงใจของตน และพยายามหลบหลีกปัญหาทางศาสนา  โดยไม่ปฏิบัติตามเสียงบังคับของมโนธรรม  จะพ้นความผิดไม่ได้  แต่ผู้ที่มีความเชื่อเองบ่อย ๆ ก็มีความรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะอเทวนิยมนั้น  ถ้าพิจารณาโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว  ไม่ได้เกิดขึ้นโดยลำพังตนเอง แต่เกิดจากเหตุต่าง ๆ ซึ่งประการหนึ่งก็คือ  ปฏิกิริยาต่อต้านด้านศาสนาทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อต้านคริสตศาสนาในที่บางแห่ง. ฉะนั้น ผู้มีความเชื่อก็อาจมีส่วนมิใช่น้อยให้เกิดอเทวนิยมเพราะการเลินเล่อในการอบรมความเชื่อก็ดี การอธิบายคำสอนอย่างผิด ๆ ก็ดี การเจริญชีวิตอย่างบกพร่องทางศาสนา  ทางศีลธรรม  และทางสังคมก็ดี ต้องกล่าวว่า เขาปิดบังยิ่งกว่าจะเผยพระพักตร์อันแท้จริงของพระเป็นเจ้าและของศาสนา.

๒๐.  อเทวนิยมอย่างมีแบบแผน

๑. บ่อย ๆ อเทวนิยมสมัยใหม่ยังเกิดขึ้นในแบบอย่างมีแบบแผน คือ นอกจากเหตุอื่น ๆ แล้ว ยังกระตุ้นให้มนุษย์อยากเป็นอิสระแก่ตนจนไม่ยอมขึ้นแก่พระเป็นเจ้าแต่อย่างใดทั้งสิ้น. ผู้ที่ถืออเทวนิยมนี้ อ้างว่าอิสระภาพก็คือ การที่มนุษย์เป็นจุดหมายปลายทางของตนเอง  เป็นพระเจ้าและผู้สร้างประวัติของตนเองแต่เพียงคนเดียว. เขาอ้างว่า ความคิดเห็นเช่นนี้เข้ากันไม่ได้กับการยอมรับนับถือพระเจ้าองค์หนึ่ง  ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดและเป็นจุดหมายปลายทางของสรรพสิ่ง  หรืออย่างน้อยเมื่อมีความคิดเห็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นเลยจะต้องยอมรับนับถือพระเจ้าองค์นั้น. ความสำนึกถึงอำนาจที่มนุษย์ได้รับจากความก้าวหน้าทางวิชาการในทุกวันนี้  ก็อาจทำให้ความเชื่อถือนั้นมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น.

๒. ในบรรดาแบบอเทวนิยมในสมัยนี้ที่เป็นแบบต่าง ๆ กัน  จำต้องกล่าวถึงแบบหนึ่ง คือ แบบที่หวังให้มนุษย์หลุดพ้นเฉพาะอย่างยิ่งโดยทำให้เขาเป็นอิสระในทางเศรษฐกิจและสังคม.  อันว่าอเทวนิยมแบบที่อ้างว่า ศาสนามีลักษณะขัดขวางการหลุดพ้นที่กล่าวนี้ โดยหลอกให้มนุษย์หวังจะได้ชีวิตหน้า จึงไม่คิดจะสร้างความเจริญในโลก เพราะฉะนั้น ผู้ถือลัทธิแบบนี้ ถ้ามีอำนาจอยู่ที่ใด  ก็โจมตีศาสนาอย่างรุนแรง ใช้เครื่องมือบีบคั้นทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีอำนาจใช้เพื่อเผยแพร่อเทวนิยมเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการอบรมยุวชน.

๒๑.  ท่าทีของพระศาสนจักรต่ออเทวนิยม

๑. อันข้อคำสอนและการกระทำชั่วช้าเหล่านี้ซึ่งขัดต่อเหตุผลและความรู้สึกของมนุษย์ทั่วไป  และทำให้มนุษย์เสื่อมเสียความมีสกุลแต่กำเนิดนั้น พระศาสนาจักรซึ่งซื่อสัตย์ต่อพระเป็นเจ้าและต่อมนุษย์  ได้ประณามในอดีตมาแล้ว และก็ยังประณามต่อไปด้วยความเศร้าสลดและความมั่นคงเด็ดเดี่ยวอย่างเต็มที่.

๒. อย่างไรก็ดี พระศาสนจักรพยายามจะค้นหาในจิตใจของพวกอเทวนิยมว่าเขามีมูลเหตุซ่อนเร้นอะไรจึงไม่ยอมเชื่อถึงพระเป็นเจ้า และโดยที่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาต่าง ๆ ที่ลัทธิอเทวนิยมก่อให้เกิดขึ้นและโดยที่มีความรักต่อมนุษย์ทั้งหลาย  พระศาสนาจักรเห็นว่าควรจะพิจารณามูลเหตุเหล่านี้อย่างจริงจังและลึกซึ้งยิ่งขึ้น.

๓. พระศาสนจักรถือว่าการยอมรับนับถือพระเป็นเจ้าไม่ขัดต่อศักดิ์ศรีของมนุษย์แต่อย่างใด เพราะเหตุว่า ศักดิ์ศรีนั้นมีรากเง่าและสมบูรณ์ไปในพระเป็นเจ้าเอง ด้วยมนุษย์นั้นพระเจ้าผู้สร้างได้ทรงสร้างมาให้เป็นผู้มีสติปัญญาและเป็นอิสระในสังคมแต่เฉพาะอย่างยิ่งในฐานะเป็นบุตร  มนุษย์ได้รับการเรียกให้มาร่วมชิดสนิทกับพระเป็นเจ้าและให้มีส่วนในความบรมสุขของพระองค์เอง.  นอกจากนั้น พระศาสนจักรสอนว่า  ความหวังของเราในโลกหน้าไม่ได้ทำให้งานการต่าง ๆ ในโลกนี้มีความสำคัญน้อยลงเลย แต่กลับมีเหตุผลใหม่ ๆ ช่วยให้การงานนั้นลุล่วงสำเร็จไปเสียอีก.  ตรงกันข้าม เมื่อขาดการค้ำจุนของพระเป็นเจ้าและไม่มีหวังจะได้ชีวิตนิรันดรในสวรรค์ ศักดิ์ศรีของมนุษย์ก็หมดไปอย่างน่าใจหาย ตามที่เราเห็นอยู่บ่อย ๆ ในทุกวันนี้  แล้วปริศนาเรื่องชีวิตกับความตาย เรื่องความผิดกับความทุกขทรมาน  ก็แก้ไม่ตก เช่นนี้แหละ มนุษย์จึงมักพากันเสียใจสิ้นหวัง.

๔. ระหว่างนั้น  มนุษย์ทุกคนยังคงเห็นตนเป็นปัญหาที่ขบคิดไม่แตกและมองเห็นแต่เลือนลาง. บางเวลาเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญในชีวิต ไม่มีใครที่จะหลบเลี่ยงคำถามแบบนี้ได้เสียทีเดียว. พระเป็นเจ้าองค์เดียวทรงสามารถตอบคำถามนั้นได้อย่างสมบูรณ์ไม่มีทางแย้งได้  พระองค์ทรงเชิญเราให้คิดลึกซึ้งยิ่งขึ้นและให้แสวงหาโดยถ่อมตัวยิ่งขึ้น.

๔. ส่วนโอสถที่จะรักษาลัทธิอเทวนิยมนั้น  ได้แก่การอธิบายคำสอนอย่างเหมาเจาะถูกต้องอย่างหนึ่ง  กับการที่พระศาสนจักรกับสมาชิกพระศาสนจักรถือชีวิตอย่างสะอาดหมดจดอีกอย่างหนึ่ง.  เป็นหน้าที่ของพระศาสนาจักรต้องทำให้พระบิดากับบุตรที่ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์มาสถิตและเหมือนกับเห็นได้  โดยฟื้นฟูคนตนและชำระโดยไม่หยุดยั้งภายใต้การนำของพระจิต. การนี้สำเร็จได้ เฉพาะอย่างยิ่งด้วยการแสดงความเชื่อที่แก่กล้ามั่นคง  คือความเชื่อที่ฝึกฝนให้รู้จักมองเห็นอุปสรรคและสามารถเอาชนะอุปสรรคนั้นได้.  มารตีจำนวนมากมายได้แสดงให้เห็นความเชื่อเช่นนี้มาแล้ว  และก็ยังแสดงให้เห็นอยู่.  ความเชื่อนั้นต้องแสดงให้เห็นว่า มีผลอุดมสมบูรณ์โดยซึมซาบเข้าไปในชีวิตทั้งชีวิตของผู้มีความเชื่อ  แม้ชีวิตทางฝ่ายโลกของเขาและชักจูงเขาให้ถือความยุตธรรมและความรัก เฉพาะอย่างยิ่งต่อคนยากจนชัดสนที่สุด.  สิ่งที่มีส่วนช่วยแสดงมากที่สุดว่า พระเป็นเจ้าสถิตยอยู่ ก็คือ การที่สัตบุรุษมีความรักกันฉันพี่น้อง ทำการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเพื่อความเชื่อถึงข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้าและแสดงตัวเป็นเครื่องหมายของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
๖. ทั้ง ๆ ที่ประณามลัทธิอเทวนิยมอย่างเด็ดขาด  พระศาสนจักรก็ยังประกาศด้วยความจริงใจว่า มนุษย์ทุกคน  ทั้งที่มีความเชื่อ  ต้องช่วยกันจรรโลงโลกนี้ที่ร่วมอยู่ด้วยกันอย่างยุติธรรม. แน่นอน เรื่องนี้จะทำได้ก็โดยที่ทั้งสองฝ่ายต้องติดต่อเจรจากันอย่างสุจริตใจและฉลาดรอบคอบ.  ฉะนั้นพระศาสนจักรจึงไม่เห็นด้วยที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองบางแห่งปฏิบัติต่างกันอย่างยุติธรรมต่อผู้มีความเชื่อและไม่มีความเชื่อ ซึ่งเท่ากับเป็นการไม่รับรู้สิทธิขั้นมูลฐานของมนุษย์. พระศาสนจักรเรียกร้องขอให้ผู้มีความเชื่อมีเสรีภาพอย่างแท้จริงที่จะสร้างโบสถ์วิหารของพระเจ้าในโลกนี้ได้ด้วย  และขอเชิญชวนพวกนักอเทวนิยมอย่างสุภาพให้พิจารณาศึกษาข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้าโดยปราศจากอคติ.

๗. พระศาสนจักรรู้ดีว่า  เมื่อป้องกันศักดิ์ศรีของกระแสเรียกมนุษย์  สารของตนนั้นตรงกับความปรารถนาอันเร้นลับที่สุดในหัวใจมนุษย์ และทำให้คนที่หมดหวังในชะตากรรมอันสูงส่งของตนแล้วกลับมีความหวัง.  สารของพระศาสนจักรนั้นมิใช่ทำให้มนุษย์ต่ำลง  แต่กลับช่วยให้เจริญโดยนำความสว่าง ชีวิตและเสรีภาพมาให้ และนอกจากสารนี้แล้ว  ไม่มีสิ่งใดจะทำให้หัวใจมนุษย์อิ่มได้ (ตามที่นักบุญเอากุสติโนกล่าวว่า) "พระผู้ทรงเป็นเจ้านายพระเจ้าข้า  พระองค์ได้ทรงสร้างข้าพเจ้าทั้งหลายมาสำหรับพระองค์และใจของข้าพเจ้าทั้งหลายนั้นจะกระวนกระวายจนกว่าได้พักสงบในพระองค์"

๒๒.  พระคริสตเจ้า  มนุษย์ใหม่

๑. แท้จริง  อัตถ์ลึกซึ้งเรื่องมนุษย์จะเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเราพิจารณาอัตถ์ลึกซึ้งเรื่องพระวจนาถมาเกิดเป็นมนุษย์  เพราะอาดัมมนุษย์แรกนั้นเป็นรูปแบบหมายถึงผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง  คือ พระคริสตเจ้า. พระคริสตเจ้าซึ่งเป็นอาดัมใหม่นั้น ตามอัตถ์ลึกซึ้งเรื่องพระบิดาและความรักของพระองค์ที่เปิดเผย ได้แสดงตัวมนุษย์ให้มนุษย์เองเห็นอย่างเต็มที่และได้เผยให้มนุษย์รู้ถึงกระแสเรียกอันสูงสุดของเขา.  เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าประหลาดแต่อย่างใดที่ความจริงต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้มีต้นกำเนิดมาแต่พระองค์  และบรรลุถึงจุดสุดยอดในพระองค์.

๒. พระผู้ที่เป็น  "พระฉายาของพระเจ้าที่แลเห็นไม่ได้" (คส. ๑ : ๑๕) นั้น  เป็นมนุษย์ดีพร้อมทุกประการที่ได้คืนความละม้ายคล้ายคลึงพระเป็นเจ้า ซึ่งได้เสียไปตั้งแต่บาปแรกแก่ลูกหลานของอาดัม เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงรับเอาธรรมชาติมนุษย์  ไม่ใช่กลืนเอาธรรมชาตินั้นจนหายไป  เพราะเหุตนี้เองธรรมชาติมนุษย์นี้จึงได้รับการยกย่องให้มีศักดิ์ศรีสูงสุดภายในตัวเราด้วย เหตุว่าเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ พระบุตรของพระเจ้าโดยวิธีใดวิธีหนึ่งได้มาร่วมสนิทกับมนุษย์ทุกคน. พระองค์ทรงทำงานด้วยมือของมนุษย์  ทรงคิดด้วยสติปัญญาของมนุษย์ทรงปฏิบัติงานด้วยกำลังน้ำใจของมนุษย์ ทรงรักใคร่ด้วยหัวใจของมนุษย์.  เมื่อทรงบังเกิดจากพระนางพรหมจารีมารีย์  พระองค์ได้ทรงเป็นคนหนึ่งในพวกเราอย่างแท้จริง  เหมือนกับเราทุกอย่างนอกจากไม่มีบาปเท่านั้น

๓. ในฐานะเป็นลูกแกะที่หาผิดมิได้  พระองค์ทรงสมัครพระทัยหลั่งพระโลหิตเพื่อช่วยให้เรามีชีวิต  และอาศัยพระองค์นี้เอง  พระเป็นเจ้าทรงทำให้เราคืนดีกับพระองค์ และคืนดีในหมู่พวกเราด้วยกันเอง กับฉุดเราให้ออกจากความเป็นทาสของปีศาจและบาปจนเราแต่ละคนอาจพูดได้เหมือนกับอัครธรรมทูตเปาโลว่า :  พระบุตรแห่งพระเจ้า  "ได้ทรงรักข้าพเจ้าและมอบอุทิศองค์เพื่อข้าพเจ้า" (กท. ๒:๒๐). เมื่อรับทนทรมานเพราะเรา  พระองค์มิใช่แต่เป็นแบบฉบับให้เราเดินตามรอยพระยุคลบาทเท่านั้น  แต่พระองค์ยังได้ทรงเปิดทางใหม่  ซึ่งถ้าเราเดินไปตามทางนั้น  ชีวิตและความตายก็กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีความหมายใหม่

๔. เพราะคริตสชนได้เป็นเหมือนพระฉายาลักษณ์ของพระบุตรผู้เป็นพี่หัวปีในหมู่พี่น้องเป็นอันมาก คริสตชนจึงได้รับ "ผลแรกของพระจิต" (รม. ๘:๒๓)  ซึ่งทำให้เขาสามารถปฏิบัติตามบัญญัติใหม่แห่งความรักได้.  พระจิตนี้แหละซึ่งเป็น "มัดจำ" ของมรดก (อฟ. ๑:๑๔) เป็นผู้ฟื้นฟูภายในมนุษย์หมดทั้งตัว  ขณะที่รอคอยให้ร่างกายได้รับการไถ่เป็นอิสระ (รม. ๘:๒๓) "ถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูคริสตเจ้ากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตในตัวท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูคริสตเจ้ากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายอันรู้จักตายของท่านกลับมีชีวิต  เดชะพระจิตของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในตัวของท่านด้วย " (รม. ๘:๑๑).  แน่นอน  ความจำเป็นและหน้าที่บีบบังคับให้คริสตชนต้องรบต่อสู้ความชั่วโดยต้องทนทุกข์ลำบากเป็นอันมาก  และต้องรับความตาย แต่เมื่อได้มีส่วนในรหัสธรรมปัสกา เมื่อได้ตายเหมือนกับพระคริสตเจ้าและมีความหวังมั่นคง  คริสตชนจะคอยต้อนรับการกลับคืนชีพขึ้นมา

๕. ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่สำหรับผู้ที่เชื่อถึงพระคริสตเจ้าเท่านั้น  แต่สำหรับมนุษย์ทุกคนที่มีน้ำใจดีและพระหรรษทานทำงานอยู่ในใจของเขาโดยที่เราแลไม่เห็น  ทั้งนี้เพราะพระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ทุกคนและเพราะกระแสเรียกสุดท้ายของมนุษย์มีแต่ประการเดียวอย่างแท้จริง คือ มาจากพระเป็นเจ้าดังนั้นเราต้องถือว่า พระจิตโปรดให้มนุษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในรหัสธรรมปัสกา โดยวิธีใดวิธีหนึ่งที่พระเป็นเจ้าทรงทราบ.

๖. อัตถ์ลึกซึ้งเรื่องมนุษย์ซึ่งผู้มีความเชื่อเห็นแจ่มแจ้ง อาศัยการไขแสดงที่คริสตชนรู้นั้น  มีลักษณะเป็นเช่นนี้และใหญ่ยิ่งเช่นนี้แหละ. ฉะนั้น อาศัยพระคริสตเจ้าและเดชะพระคริสตเจ้า  ปริศนาเรื่องความเจ็บปวดและความตายจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง  ซึ่งถ้าไม่มีข่าวดีเรื่องพระองค์แล้วเราก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้. พระคริสตเจ้าได้ทรงกลับคืนพระชนม์ขึ้นมา  ได้ชนะความตายด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์และได้ประทานชีวิตแก่เราเพื่อว่า  เมื่อได้เป็นลูกอาศัยพระบุตรแล้ว เราจะได้เรียกโดยอาศัยพระจิตว่า; อับบา, ข้าแต่พระบิดา.