คำบรรยายนำเรื่อง สภาพของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน
๔. ความหวังและความกังวล
๑.
เพื่อปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงไป ทุกๆ ขณะพระศาสนจักรมีหน้าที่ต้องสอดส่องเฝ้าสังเกตดูและตีความเครื่องหมายสำคัญบอกเวลา จึงจะสามารถตอบได้อย่างเหมาะสมแก่คนแต่ละสมัย คือตอบ คำถามที่มนุษย์ชอบตั้งถามแต่ไหนแต่ไรมาว่าชีวิตในปัจจุบันและชีวิตในอนาคตมีความหมายอะไร และเกี่ยวข้องกันอย่างไร ฉะนั้น จำเป็นต้องรู้จักและเข้าใจโลกที่เราดำรงชีวิตอยู่ตลอดจนความหวัง ความใฝ่ฝันและอุปนิสัยซึ่งมักจะเป็นไปอย่างฉับพลันทันทีของโลก ต่อไปนี้เป็นลักษณะสำคัญบางอย่างที่อาจสังเกตได้เกี่ยวกับโลกในปัจจุบัน
๒.
ทุกวันนี้ ชาติมนุษย์กำลังอยู่ในยุคใหม่ของประวัติศาสตร์ เป็นยุคซึ่งมักมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งรวดเร็วและค่อยๆ ขยายไปทั่วพิภพ การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นเพราะสติปัญญาและความขยันสร้างสรรค์ของมนุษย์ กลับมีผลสะท้อนไปถึงตัวมนุษย์เอง ตลอดจนถึงความวินิจฉัย, ความปรารถนาทั้งส่วนตัวและส่วนรวม วิธีคิดและวิธีปฏิบัติทั้งต่อวัตถุสิ่งของและเพื่อนมนุษย์ ดังนี้ เราอาจกล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งส่งผลสะท้อนไปจนถึงชีวิตทางด้านศาสนาของมนุษย์
๓.
เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในการเติบใหญ่ทั่วไป การเปลี่ยนแปลงที่กล่าวนี้ย่อมทำให้เกิดความ ยุ่งยากมิใช่เล็กน้อย, ดังนี้ ขณะที่มนุษย์ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวางนั้น มนุษย์ไม่สามารถบังคับอำนาจให้รับใช้ตนได้เสมอไป มนุษย์จะพยายามรู้จักจิตใจของคนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มนุษย์ค่อย ๆ ค้นพบกฎของชีวิตสังคมอย่างกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น แต่กลับลังเลใจไม่ทราบจะให้ชีวิตสังคมนั้นมุ่งหน้าไปทางใด
๔.
ไม่มีสมัยใดที่ชาติมนุษย์มีโภคทรัพย์ ช่องทาง ความสามารถและอำนาจทางเศรษฐกิจเท่าในสมัยนี้ แต่ถึงกระนั้นยังมีชาวโลกเป็นจำนวนมากที่อดอยากยากแค้น และยังมีคนนับไม่ถ้วนที่ไม่รู้หนังสือเลย ไม่มีสมัยใดที่มนุษย์มีความสำนึกถึงเสรีภาพอย่างแรงกล้าเหมือนอย่างในทุกวันนี้ แต่ในขณะเดียวกันกลับมีการเป็นทาสทางสังคมและทางจิตใจแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้น แม้ว่าโลกทุกวันนี้มีความสำนึกอย่างแรงกล้าถึงเรื่องต้องรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกันโดยจำเป็นต้องมีส่วนช่วยเหลือกัน แต่โลกก็ยังแตกแยกกันอย่างรุนแรงด้วยกำลังที่รบพุ่ง ต่อสู้กัน; ความร้าวฉานอย่างฉกรรจ์ทางการเมือง ทางสังคม ทางเศรษฐกิจ ทางเชื้อชาติและทางลัทธิความเชื่อถือยังคงมีอยู่ และภัยที่จะเกิดสงครามล้างผลาญทุกสิ่งให้พินาศวอดวายก็ยังไม่หมดไป การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมีมากขึ้น แต่คำที่ใช้แสดงความนึกคิดเข้าใจที่สำคัญ ๆ กลับมีความหมายไปคนละทางแล้วแต่ลัทธิความเชื่อถือ ที่สุด มีคนเอาใจใส่แสวงหาองค์การฝ่ายโลกที่ดีพร้อมกว่านี้ แต่เขาไม่คิดจะเจริญก้าวหน้าทางธรรมในทำนองเดียวกันด้วย
๕.
เมื่อเห็นภาระยุ่งสลับซับซ้อนมายมากเช่นนี้ คนสมัยเดียวกับเราหลายต่อหลายคนย่อมไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรบ้างเป็นสิ่งมีค่าถาวรตลอดไป และไม่รู้จักจะประสมประสานอย่างไรให้เข้ากับสิ่งที่เพิ่งค้นใหม่ ๆ เมื่อตกอยู่ในสภาพมีหวังพักหนึ่ง กระวนกระวายใจพักหนึ่ง กระวนกระวายใจพักหนึ่ง และเมื่อตกอยู่ในสภาพมีหวังพักหนึ่ง กระวนกระวายใจพักหนึ่ง และเมื่อนึกถามตนเองว่าสภาพการณ์ในปัจจุบันจะเป็นไปในรูปใด เขาย่อมต้องรู้สึกกังวลใจ สภาพการณ์ที่กล่าวขึ้นเท่ากับท้าทาย หรือกล่าวได้ว่าบังคับให้มนุษย์ต้องตอบ
๕. สภาพที่เปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคน
๑.
การที่ในปัจจุบันนี้ จิตใจของมนุษย์ปั่นป่วนและสภาพต่าง ๆ ในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปนั้น เกี่ยวโยงกับการเปลี่ยนแปลงทั่วไป ซึ่งทำให้วิชาคณิตศาสตร์ วิชาธรรมชาติ หรือวิชาที่กล่าวถึงมนุษย์เอง มี น้ำหนักในการฝึกสอนจิตใจ และทำให้วิชาการต่าง ๆ ซึ่งสืบมาจากวิชาเหล่านั้น มีน้ำหนักในการปฏิบัติ จิตใจที่ชอบทดลองชอบพิสูจน์เช่นนี้ได้ปั้น สภาพวัฒนธรรมและวิธีคิดผิดไปจากแต่ก่อน บัดนี้ วิชาการได้ก้าวหน้าจนถึงขั้นเปลี่ยนโฉมโลกและกำลังพยายามจะพิชิตอวกาศ
๒.
สติปัญญามนุษย์ยังทำเหมือนกับแผ่อำนาจไปถึงกาลเวลาด้วย คือ แผ่อำนาจไปถึงเวลาในอดีตด้วยความรู้ประวัติศาสตร์ และแผ่ไปถึงเวลาในอนาคตด้วยวิชาวางโครงการและวางแผน, ชีววิทยา จิตวิทยา และสังคมวิทยา ที่กำลังเจริญก้าวหน้านั้น มิใช่แต่อำนวยให้มนุษย์รู้จักตัวเองดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มนุษย์มีอิทธิพลโดยตรงเหนือชีวิตของสังคมต่าง ๆ โดยใช้ตำราวิชาการอันเหมาะสม ในขณะเดียวกัน ชาติมนุษย์เป็นห่วงยิ่งวันยิ่งมากขึ้นที่จะคิดล่วงหน้าและควบคุมการเกิดซึ่งทำให้พลโลกเพิ่มจำนวนมากขึ้น
๓.
ประวัติศาสตร์เองก็เคลื่อนไหวรวดเร็วจนเราแต่ละคนตามไม่ทัน ชะตากรรมของประชาคมมนุษย์กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวและไม่แตกแยกเหมือนประวัติต่าง ๆ ที่แยกกันรวมความว่า แต่ก่อนชาติมนุษย์เห็นว่าความเป็นไปในโลกไม่สู้เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวนี้ เห็นว่ามีวิวัฒนาการ เพราะเหตุนี้เองจึงเกิดปัญหาใหม่อีกชุดหนึ่ง เป็นชุดที่สำคัญอย่างยิ่งและเรียกร้องไห้มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์ใหม่
๖. การเปลี่ยนแปลงในระเบียบสังคม
๑.
ในโอกาสเดียวกันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งวันยิ่งมากขึ้นใหม่ประชาคมท้องที่ที่มีแต่ดั้งเดิมมา เช่น ครอบครัวที่ถือพ่อเป็นใหญ่ ก๊ก เผ่า หมู่บ้านในหมู่คณะต่าง ๆ และในการติดต่อกันทางสังคม
๒.
สังคมแบบอุตสาหกรรมค่อย ๆ ขยายตัว ทำให้บางประเทศมีความร่ำรวยทางเศรษฐกิจกับ ทำให้ความนึกคิดและสภาพชีวิตทางสังคมที่มีมาแต่หลายศตวรรษเปลื่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ในทำนองเดียวกัน มีการทำนุบำรุงและเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองมากขึ้น โดยทำให้จำนวนเมืองและคนอาศัยในเมืองเพิ่มขึ้นก็ดี หรือโดยขยายชีวิตความเป็นอยู่แบบในเมืองออกไปยังเขตบ้านนอกก็ดี
๓. สื่อมวลชนแบบใหม่ ๆ ที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอย่อมส่งเสริมให้รู้เหตุการณ์และแพร่ความคิดความรู้สึกออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็วยิ่งนัก ทำให้เกิดผลสะท้อนมากมายติดต่อกันเป็นห่วงลูกโซ่
๔.
เราควรสังเกตด้วยว่า มีคนเป็นจำนวนมากจำต้องเปลี่ยนแบบดำเนินชีวิต เพราะมีเหตุผล ต่าง ๆ ต้องเดินทางไปจากประเทศของตน
๕.
ดังนี้ มนุษย์ย่อมมีความผูกพันกับเพื่อนมนุษย์ยิ่งมากขึ้นทุกที และในขณะเดียวกัน การอยู่เป็นสังคมนั้นเองก็ทำให้เกิดข้อผูกพันใหม่ ๆ ขึ้น แต่ไม่ถึงกับส่งเสริมการพัฒนาตัวบุคคลอย่างเหมาะสมและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างแท้จริงเสมอไป
๖.
ความจริง วิวัฒนาการแบบนี้เห็นได้ชัด โดยเฉพาะในชาติที่ได้รับผลประโยชน์จากความเจริญทางเศรษฐกิจและวิชาการแล้ว แต่วิวัฒนาการนั้นก็ยังดำเนินอยู่ในชนชาติที่กำลังพัฒนา อยากให้ประเทศของตนได้รับผลประโยชน์ของการขยายอุตสาหกรรมและการทำชนบทให้กลายเป็นเมือง ชนชาติเหล่านี้เป็นต้น ถ้ายังยึดถือประเพณีนิยมเก่าแก่ไว้ ย่อมรู้สึกในขณะเดียวกันว่าต้องการจะใช้เสรีภาพของเขาอย่างสุขุมคัมภีรภาพกว่าและด้วยตนเองมากกว่า
๗. ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ทางศีลธรรมและทางศาสนา
๑.
การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและทางร่างกายบ่อยครั้ง ทำให้สิ่งมีค่าที่เคยเชื่อถือเกิดเป็นที่สงสัยขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เยาวชนซึ่งใจร้อนตะพึดตะพือ เลยกลายเป็นคนแข็งข้อไป เพราะความกระวนกระวายใจ และเนื่องจากสำนึกถึงความสำคัญของเขาในชีวิตสังคม เขาจึงอยากมีส่วนรับผิดชอบในชีวิตสังคมนั้นให้เร็วขึ้น เพราะเหตุนี้ บ่อย ๆ พ่อแม่และนักอบรมจึงประสบความยุ่งยากมากขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ของตน
๒.
ขนบประเพณี กฎต่าง ๆ ตลอดจนวิธีคิดและวิธีเข้าใจซึ่งสืบทอดมาจากคนรุ่นก่อนนั้น ดูเหมือนไม่เข้ากับสภาพเหตุการณ์ในปัจจุบันเสมอไป เพราะฉะนั้น จึงเกิดความสับสนอลหม่านอย่างหนักขึ้นในวิธีปฏิบัติและแม้ในกฎความประพฤติเอง
๓.
ที่สุด ภาวการณ์ใหม่ ๆ ย่อมกระทบกระเทือนถึงชีวิตทางด้านศาสนาเองด้วย คือ ทางด้านหนึ่ง วิจารณญาณอันเข้มแข็งกว่าที่จะแยกศาสนาออกจากความเข้าใจโลกไปทางเวทมนต์และจากความเชื่อถืองมงายที่ยังหลงเหลืออยู่ ย่อมชำระศาสนาให้บริสุทธิ์และเรียกร้องให้มีความเชื่อยิ่งวันยิ่งมั่นคงและเป็นของตนเองมากขึ้น ดังนั้น คนเป็นจำนวนมากเข้าใจพระเป็นเจ้าดีขึ้น ส่วนอีกทางด้านหนึ่งนั้น ฝูงคนยิ่งมากขึ้นพากันทิ้งการปฏิบัติถือศาสนา การปฏิเสธพระเป็นเจ้าหรือศาสนาหรือการทิ้งพระเป็นเจ้าหรือศาสนานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหรือการกระทำของคนบางคนเหมือนในสมัยก่อนแล้ว เพราะทุกวันนี้ เขาถือว่า ความประพฤติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หรือลัทธิมนุษยนิยมใหม่อย่างหนึ่งเรียกร้องให้ทำ ในที่หลายแห่ง ความคิดเห็นต่าง ๆ เหล่านี้ มิใช่แสดงออกมาในคำสั่งสอนของพวกปรัชญาเมธีเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางครอบงำอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ การอธิบายวิชาเกี่ยวกับมนุษย์และวิชาประวัติศาสตร์ และแม้แต่กฎหมายของบ้านเมืองเอง เพราะเหตุนี้ คนเป็นอันมากจึงรู้สึกอลหม่านปั่นป่วนไปหมด
๘. ความไม่สมดุลย์ต่าง ๆ ในโลกปัจจุบัน
๑.
วิวัฒนาการซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วและบ่อย ๆ โดยไม่มีระเบียบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำนึกอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นถึงความแตกแยกไม่ลงรอยในโลก ย่อมทำให้เกิดหรือเพิ่มความขัดแย้งและความไม่สมดุลย์กันมากขึ้น
๒.
ในตัวบุคคลเอง บ่อย ๆ ทีเดียวความเข้าใจทางปฏิบัติสมัยใหม่มักไม่เข้ากับความคิดทางทฤษฎี ซึ่งไม่สามารถจะเอาความรู้ทั้งหมดมารวมเข้าเป็นสังเคราะห์อย่างน่าพอใจเช่นเดียวกัน ความกังวลที่จะทำงานให้เกิดผลมักขัดกับคำเรียกร้องของมโนธรรม และบ่อย ๆ เหมือนกัน สภาพความเป็นอยู่ร่วมกันมัก ขัดกับความต้องการจะมีความคิดเป็นของตนเอง และความต้องการจะอยู่อย่างสงบ ที่สุด ความเชี่ยวชาญพิเศษในกิจการของมนุษย์ยังขัดกับความรู้ทั่วไป
๓.
ความระหองระแหงเกิดขึ้นในครอบครัว เพราะครอบครัวมีความกดดันที่เกิดจากสภาพสถิติประชากร เศรษฐกิจ และสังคมก็ดี หรือเพราะความขัดแย้งของคนรุ่นต่าง ๆ ที่สืบต่อกันมาก็ดี หรือเพราะความสัมพันธ์ทางสังคมใหม่ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างชายกับหญิงก็ดี
๔.
ความไม่สมดุลย์อย่างร้ายแรงยังเกิดขึ้นระหว่างเชื้อชาติ ระหว่างชนชั้นต่าง ๆ ในสังคม ระหว่างประเทศที่ร่ำรวยที่ร่ำรวยน้อยกว่าและที่ยากจน ที่สุด ระหว่างสถาบันระหว่างชาติที่เกิดขึ้นเพราะความใฝ่ฝันของชาติต่าง ๆ อยากมีสันติสุขกับความทะเยอทะยานที่จะโฆษณาเผยแพร่ลัทธิของตนหรือความเห็นแก่ตัวส่วนรวมที่มีอยู่ในชาติต่าง ๆ หรือในหมู่ชนอื่น ๆ
๕. ผลที่เกิดก็คือ ความไม่ไว้ใจและความเป็นอริต่อกัน การกระทบกระทั่งและความทุกขเวทนาต่าง ๆ ซึ่งมนุษย์เองเป็นต้นเหตุให้เกิดและเป็นผู้รับเคราะห์ต่าง ๆ นั้น
๙. มนุษยชาติมีความใฝ่ฝันยิ่งที่ยิ่งขยายกว้างออกไป
๑.
ระหว่างนั้น มีการเชื่อตระหนักยิ่งขึ้นว่า ชาติมนุษย์มิใช่แต่สามารถและต้องกระชับอำนาจของตนเหนือสิ่งที่ถูกสร้างมาให้ยิ่งวันยิ่งมั่นคงขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถและต้องจัดระเบียบทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งจะรับใช้มนุษย์ดียิ่งขึ้นกับช่วยให้มนุษย์แต่ละคนและแต่ละหมู่คณะยืนยันและพัฒนา ศักดิ์ศรีของตน
๒.
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ คนเป็นจำนวนมากได้เรียกร้องทวงถามเอาผลประโยชน์เหล่านั้น ซึ่งเขาเชื่อโดยสุจริตใจว่า ตนไม่ได้รับอย่างยุติธรรมหรือเพราะไม่ได้แบ่งปันอย่างเที่ยงธรรมบรรดาชาติที่กำลังพัฒนา เช่นชาติที่เพิ่งได้รับเอกราช ก็ใคร่จะมีส่วนได้รับคุณประโยชน์ของอารยธรรมสมัยใหม่ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและด้านการเมือง กับได้แสดงบทบาทของตนบนเวทีของโลกอย่างเป็นอิสระ แต่ถึงกระนั้นชาติเหล่านี้ยิ่งห่างออกไปทุกทีและบ่อย ๆ ทีเดียวต้องขึ้นกับชาติเหล่านี้ยิ่งห่างออกไปทุกทีและบ่อย ๆ ทีเดียวต้องขึ้นกับชาติอื่น ๆ ที่ร่ำรวยกว่าและเจริญเร็วกว่า โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ชาติที่หิวโหยร้องขอให้ชาติที่ร่ำรวยกว่าช่วย ที่ใดที่สตรียังไม่ได้รับสิทธิ เขาก็เรียกร้องขอมีสิทธิและได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับชาย คนงานและชาวนามิใช่ปรารถนาได้แต่สิ่งที่จำเป็นแก่การครองชีพเท่านั้น แต่ยังปรารถนาจะพัฒนาคุณสมบัติใน ตัวเขาด้วยการทำงาน ยิ่งกว่านั้น อยากมีส่วนในการจัดชีวิตทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางการเมือง และทางวัฒนธรรมด้วย บัดนี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ทุก ๆ ชาติเชื่อตระหนักว่าคุณประโยชน์ของอารยธรรมสามารถและต้องแผ่ขยายให้ไปถึงทุก ๆ คนอย่างแท้จริง
๓.
แต่มีความใฝ่ฝันประการหนึ่ง ซึ่งลึกซึ้งกว่าและแพร่หลายกว่าแฝงอยู่ในข้อเรียกร้องทั้งหมดนี้ คือ บุคคลก็ดี หมู่คณะก็ดี กระหายอยากได้ชีวิตที่สมบูรณ์เป็นอิสระและคู่ควรแก่มนุษย์แล้วบังคับให้ของ ทุกอย่างที่โลกในปัจจุบันสามารถหยิบยื่นให้ได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ทำการรับใช้ตน ส่วนชาติต่าง ๆ ก็ยิ่งพยายามอุตส่าห์จะจัดให้มีประชาคมสากลแบบใดแบบหนึ่งเกิดขึ้น
๔.
เมื่อเป็นดังนี้ โลกปัจจุบันจึงแสดงให้เราเห็นว่า มีทั้งกำลังและความอ่อนแอ สามารถจะทำกิจการที่ดีที่สุดหรือเลวที่สุดและทางเปิดอยู่ให้โลกก้าวไปสู่อิสรภาพหรือความเป็นทาสก็ได้ ไปสู่ความก้าวหน้าหรือการถอยหลังก็ได้ ไปสู่ภราดรภาพหรือความเกลียดชังก็ได้ อีกประการหนึ่ง เดี๋ยวนี้มนุษย์มีความสำนึกว่าเป็นเรื่องสุดแล้วแต่เขาที่จะนำกำลังที่เขาได้ปลุกให้เกิดขึ้นนั้นไปในทางที่ถูก และกำลังนั้นอาจจะทับเขาให้บี้แบนหรือทำประโยชน์ให้แก่เขาก็ได้ ฉะนั้น เขาจึงตั้งปัญหาถามตนเอง
๑๐. คำถามอันหนักหน่วงต่าง ๆ ของมนุษยชาติ
๑.
แท้จริง ความไม่สมดุลย์ต่าง ๆ ที่ทำให้โลกปัจจุบันต้องลำบากนั้น เกี่ยวโยงกับความไม่สมดุลย์ประการหนึ่ง ซึ่งลึกซึ้งกว่าและหยั่งรากลงในใจของมนุษย์นั่นเอง หมายความว่า ในตัวมนุษย์นั้นมีส่วนประกอบหลายอย่างรบสู้กันเอง คือ ทางหนึ่ง ในฐานะเป็นผู้ถูกสร้างมา มนุษย์เห็นประจักษ์ว่าตนมีเขตจำกัดอยู่หลายทาง ส่วนอีกทางหนึ่งนั้น รู้สึกว่าตนมีความปรารถนาอย่างไม่มีขอบเขต และได้เกิดมาสำหรับชีวิตประเสริฐกว่านี้ เมื่อถูกชักชวนให้ทำหลายอย่าง มนุษย์ก็ถูกบังคับอยู่เสมอให้เลือกจะทำอย่างไหนและไม่ทำอย่างไหน ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากเป็นคนอ่อนแอและคนบาป บ่อย ๆ ทีเดียวมนุษย์มักทำสิ่งที่ไม่อยากทำ และกลับไม่ทำสิ่งที่อยากทำ ดังนั้นมนุษย์จึงสู้ทนการแบ่งแยกในตัวของตนเองและจากการแบ่งแยกนี้เองที่เกิดความร้าวฉานอย่างรุนแรงไม่รู้สักกี่ครั้งขึ้นในสังคมไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีคนเป็นอันมากมีชีวิตขลุกอยู่กับวัตถุนิยมในทางปฏิบัติ จึงมองไม่เห็นแจ่มแจ้งถึงสภาพอันน่าสังเวชนี้ หรืออย่างน้อย เขาไม่มีทางจะพิจารณาคำนึงถึงสภาพนั้น เพราะตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก มีหลายคนคิดว่าจะพบความสงบใจ ในคำอธิบายสิ่งต่าง ๆ ซึ่งทุกวันนี้มีคนเสนอในที่ทั่วไป บางคนหวังว่า ความพยายามของมนุษย์อย่างเดียวจะช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากทุกข์อย่างหมดสิ้นและอย่างแท้จริง และเชื่อมั่นว่าการปกครองของมนุษย์ในโลกในสมัยหน้าจะทำให้ตนได้สมใจทุกอย่าง ยังมีบางคนหมดหวังในความหมายของชีวิต กลับยกย่องความกล้าของคนที่คิดว่าชีวิตของมนุษย์ไร้ความหมายใด ๆ ทั้งสิ้นในตัวเอง แล้วพยายามจะทำให้เห็นว่า ชีวิตนั้นมีความหมายอย่างสมบูรณ์ด้วยสติปัญญาของเขาเอง อย่างไรก็ดี เมื่อโลกทุกวันนี้เจริญยิ่งขึ้น ก็ยิ่งมีคนตั้งปัญหาขั้นมูลฐาน หรือเห็นเป็นปัญหาขั้นมูลฐานด้วยความเฉียบแหลมแบบใหม่ เช่น ถามว่า มนุษย์คืออะไร? ความทุกขทรมาน ความชั่วและความตายเป็นประการใด? ชัยชนะที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยากถึงเพียงนี้มีประโยชน์อันใด? มนุษย์จะให้อะไรแก่สังคมได้และจะหวังอะไรได้จากสังคม? อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากชีวิตในโลกนี้?
๒.
ฝ่ายพระศาสนจักรเชื่อว่า พระคริสตเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพพระชนม์ชีพเพื่อมนุษย์ทั้งหลาย ทรงหยิบยื่นความสว่างและพละกำลังแก่มนุษย์ ทางพระจิตของพระองค์เพื่อให้มนุษย์ถือตามกระแสเรียกอันสูงส่งของตนได้ พระศาสนจักรเชื่อว่า ใต้ฟ้านี้ไม่มีนามอื่นใดที่ประทานให้มนุษย์พึ่งพาอาศัยเอาตัวรอดได้ พระศาสนจักรยังเชื่อว่า กุญแจ ศูนย์และจุดจบแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็อยู่ในองค์พระผู้ทรงเป็นเจ้านายแและพระอาจารย์ของตน นอกจากนี้ พระศาสนจักรยังยืนยันว่าในบรรดาสิ่ง ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป หลายสิ่งยังคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงและมีรากฐานสุดท้ายของมันอยู่ในองค์พระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นพระฉายาของพระเป็นเจ้าที่เรามองไม่เห็นและเป็นพระบุตรองค์หัวปีก่อนสรรพสัตว์ทั้งหลาย สภาสังคยานาตั้งใจจะปราศรัยกับทุกคน เพื่ออธิบายให้เข้าใจอัตถ์ลึกซึ้งเรื่องมนุษย์ กับช่วยค้นหาคำตอบปัญหาเรื่องสำคัญ ๆ ในสมัยของเรา
|