หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

การเผยของพระเป็นเจ้า พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
การแพร่ธรรมของฆราวาส เล่ม 3

บทที่  2 : จุดหมายต่าง ๆ ที่ต้องมุ่งบรรลุถึง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

คำนำ

๕. เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาไถ่บาป  พระองค์ทรงมุ่งจะช่วยมนุษย์ให้รอดเป็นข้อใหญ่ก็จริง แต่ยังทรงมุ่งจะฟื้นฟูการทางฝ่ายโลกทั้งหมดด้วย ฉะนั้น ภารกิจของพระศาสนจักรจึงมิใช่เพียงนำสาส์นและพระหรรษทานของพระคริสตเจ้ามาถึงมนุษย์เท่านั้น  แต่ยังต้องทำให้การทางฝ่ายโลกดีขึ้นด้วยจิตตารมณ์แห่งพระวรสารด้วย ฉะนั้น สัตบุรุษฆราวาสที่ประกอบภารกิจนี้ของพระศาสนจักร ก็เท่ากับทำการแพร่ธรรมทั้งในพระศาสนจักรและในโลก ทั้งในการฝ่ายธรรมและในการฝ่ายโลกด้วย แม้ว่าการทั้งสองฝ่ายนี้แตกต่างกัน ก็เกี่ยวโยงถึงกันตามการของพระเป็นเจ้าซึ่งมีแต่ประการเดียว เพราะเหตุนี้พระเป็นเจ้าเองทรงปรารถนาให้พระคริสตเจ้าพิชิตเอาโลกทั้งโลกกลับคืนมา เพื่อทำให้เป็นสิ่งใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่ในโลกนี้และทำให้แล้วเสร็จในวันสุดท้าย

ฆราวาสที่เป็นสมาชิกทั้งในประชากรของพระเป็นเจ้าและในบ้านเมืองของมนุษย์คงมีแต่มโนธรรมอันเดียวเท่านั้น คือมโนธรรมแบบคริสตชนซึ่งต้องนำทางคริสตชนอยู่ตลอดเวลาทั้งในทางโลกและในทางธรรม

การแพร่ธรรมซึ่งมุ่งจะประกาศพระวรสารและทำให้มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์

๖. หน้าที่ของพระศาสนจักรเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรอดของมนุษย์ มนุษย์จะรอดได้ก็โดยเชื่อถึงพระคริสตเจ้าและพึ่งพระหรรษทานของพระองค์  ฉะนั้น ด้วยการแพร่ธรรม                พระศาสนจักร และสมาชิกทุกคนในพระศาสนจักรต้องประกาศสาส์นของพระคริสตเจ้าแก่โลกโดยคำพูดและโดยการกระทำ แล้วถ่ายทอดพระหรรษทานของพระองค์ให้แก่โลก  การเรื่องนี้ปฏิบัติโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการเทศน์สอนและการโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์  แต่แม้จะเป็นเรื่องที่มอบหมายเป็นพิเศษให้แก่พระสงฆ์  ฆราวาสก็ยังมีบทบาทโดยเฉพาะและสำคัญอย่างยิ่งยวด  ซึ่งทำให้เขาเป็น “ผู้ร่วมงานเพื่อความจริง” (๓ ยน. ๘ ) โดยเฉพาะในเรื่องนี้การแพร่ธรรมของฆราวาสกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อภิบาลสัตบุรุษ ทำให้งานของทั้งสองฝ่ายต่างเสร็จครบสมบูรณ์

ฆราวาสมีโอกาสมากมายที่จะทำการแพร่ธรรมด้วยการประกาศข่าวดีและทำให้มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ไป แม้แต่การบำเพ็ญชีวิตแบบคริสตชนและกิจการต่าง ๆ ที่กระทำโดยมีจิตตารมณ์เหนือธรรมชาติ  ก็มีอำนาจมากที่จะชักจูงมนุษย์ให้มาสู่ความเชื่อและมาหาพระเป็นเจ้า เพราะพระคริสตเจ้าตรัสว่า “ ให้ความสว่างของท่านส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อให้เขาเห็นกิจการดีของท่าน แล้วสรรเสริญพระบิดาของท่านซึ่งอยู่ในสวรรค์ “ (มธ.๕ : ๑๖)

อย่างไรก็ดี  การแพร่ธรรมแบบนี้ไม่ใช่อยู่ที่การดำรงชีวิตเป็นแบบฉบับดีอย่างเดียว ผู้แพร่ธรรมที่แท้จริงต้องหาโอกาสที่จะใช้คำพูดประกาศพระคริสตเจ้าแก่ผู้ที่ยังไม่เชื่อเพื่อช่วยนำเขาให้ม่สู่ความเชื่อ หรือประกาศแก่สัตบุรุษเพื่อสอนเขาให้รู้เตือนเขาให้มั่นคงและกระตุ้นเขาให้ถือชีวิตที่ร้อนรนยิ่งขึ้น “ เพราะความรักต่อพระคริสตเจ้าเร่งเร้าใจเรา” (๒ คร.๕ : ๑๔) วาทะของนักบุญเปาโลที่ว่า “ วิบัติแก่ข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวดี “ ( ๑ คร. ๙ : ๑๖ ) ควรจะดังก้องอยู่ในใจของทุกคน

ในสมัยนี้  ที่เกิดปัญหาใหม่และความลุ่มหลงอย่างฉกรรจ์ ๆ ที่กำลังแผ่ขยายออกไป โดยมุ่งจะโค่นศาสนา ระเบียบศีลธรรม แม้กระทั่งสังคมของมนุษย์อย่างถอนรากถอนโคนนั้น สภาสังคายนาขอรบเร้าเตือนฆราวาสทั้งหลายตามที่แต่ละคนมีคุณวุฒิและความรู้  ให้มีส่วนอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้นในการอธิบายและป้องกันหลักการของพระคริสตธรรม ตลอดจนในการนำหลักการนั้นมาใช้กับปัญหาต่าง ๆ ในสมัยเรา ตามเจตนารมณ์ของพระศาสนจักร
 
การฟื้นฟูการทางคติโลกตามแบบคริสตชน

๗. แผนการที่พระเป็นเจ้าทรงคิดไว้สำหรับโลก มีดังนี้ คือ ให้มนุษย์พร้อมใจกันฟื้นฟูการทางฝ่ายโลกให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นการคติโลกนั้น คือสิ่งที่มีค่าต่าง ๆ ในชีวิตและในครอบครัว วัฒนธรรม การเศรษฐกิจ วิชาและอาชีพ สถาบันในประชาคมการเมือง การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสิ่งอื่น ๆ ทำนองนี้ ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าของสิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดนี้มิใช่แต่ช่วยให้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองด้วย ซึ่งคุณค่านั้นพระเป็นเจ้าทรงใส่ไว้ในสิ่งเหล่านั้นไม่ว่าจะพิจารณามันแต่ละอันหรือถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลฝ่ายโลกทั้งหมด “ และแล้วพระเป็นเจ้าทรงเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างนั้นล้วนแต่ดีทั้งสิ้น “ (ปฐก.๑ : ๓๑ ) อันความดีงามตามธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ยังทวีขึ้น เพราะเกี่ยวข้องกับมนุษย์ และถูกสร้างมาสำหรับรับใช้มนุษย์ ในที่สุด พระเป็นเจ้าพอพระทัยเอาสิ่งทั้งหมดนี้ทั้งทีเป็นธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ มารวมเข้าไว้ในพระคริสตเจ้า “ คือพระองค์ทรงเป็นปฐมเหตุ “ (คส.๑ : ๑๘ ) แต่การที่กำหนดเช่นนี้ไม่ได้ทำให้คติโลกเสียความเป็นอิสระ จุดหมาย กฎเกณฑ์ ช่องทางและความสำคัญของมัน เพื่อประโยชน์ของมนุษย์เลย ตรงกันข้าม กลับทำให้พละกำลังและคุณค่าของมันเองสมบูรณ์ดียิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันยกมันให้สูงขึ้นเท่ากับระดับกระแสเรียกของมนุษย์ในโลกนี้

ในเวลาที่ล่วงแล้วในประวัติศาสตร์ มนุษย์ใช้สิ่งของทางโลกไปในทางผิดอย่างร้ายฉกรรจ์ มนุษย์ซึ่งติดบาปกำเนิดหลงผิดไปบ่อย ๆ เกี่ยวกับพระเจ้าแท้  ธรรมชาติมนุษย์และหลักเกณฑ์ของกฎศีลธรรม ดังนั้นขนบประเพณีต่าง ๆ ของมนุษย์จึงเสื่อมโทรม และตัวมนุษย์เองก็เป็นที่ดูหมิ่นถือว่าไม่มีค่าอยู่เนือง ๆ แม้ในสมัยของเรานี้ บางคนซึ่งเชื่อถือความก้าวหน้าของธรรมชาติศึกษาและวิชาการจนเกินควร ก็โอนเอนไปในทางจะบูชากราบไหว้สิ่งของทางฝ่ายโลกทีเดียวก็ว่าได้ เขากลายเป็นทาสยิ่งกว่าจะเป็นนายของสิ่งของทางฝ่ายโลกนี้ไปเสียแล้ว

เป็นภาระหน้าที่ของพระศาสนจักรทั้งหมดที่จะต้องทำให้มนุษย์สามารถตีค่าคติโลกอย่างถูกต้อง แล้วชักคติโลกนั้นให้มุ่งไปหาพระเป็นเจ้าโดยอาศัยพระคริสตเจ้า เป็นหน้าที่ของผู้อภิบาลสัตบุรุษจะต้องแถลงอย่างแจ่มแจ้งถึงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับจุดหมายการสร้างและการใช้ของของโลกในทางที่ถูก แล้วให้ความช่วยเหลือทางศีลธรรมและทางวิญญาณ เพื่อให้การทางฝ่ายโลกได้รับการฟื้นฟูขึ้นในพระคริสตเจ้า

ฆราวาสต้องถือว่าการฟื้นฟูคติโลกเป็นหน้าที่โดยเฉพาะของตนเอง ฆราวาสเมื่อรู้เห็นแจ้งโดยอาศัยความสว่างแห่งพระวรสาร และมีจิตตารมณ์ของพระศาสนจักร กับความรักต่อเพื่อนมนุษย์แบบคริสตชนผลักดันไป ก็ต้องลงมือปฏิบัติงานในเรื่องนี้ด้วยตนเองและด้วยใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ในฐานะพลเมืองฆราวาสร่วมมือกับพลเมืองอื่น ๆ ตามความสามารถพิเศษ โดยรับเอาส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของตน และต้องแสวงหาความยุติธรรมแห่งพระราชัยของพระเป็นเจ้าในที่ทั่วไปและในกิจการทุกอย่าง ต้องฟื้นฟูคติโลกในแบบที่ยังเคารพปฏิบัติให้ถูกกฎโดยเฉพาะของมัน การทางฝ่ายโลกนั้นก็ยิ่งจะถูกต้องตรงกับหลักเกณฑ์อันสูงกว่าของชีวิตแบบคริสตชน และเข้ากับสภาพต่าง ๆ ของสถานที่ เวลา และหมู่ชน ในบรรดางานต่าง ๆ ของการแพร่ธรรมนี้ งานสังคมของคริสตชนนับเป็นงานที่เด่นที่สุด สภาสังคายนา ปรารถนาจะเห็นงานนี้แพร่ขยายไปในวงงานฝ่ายโลกทั่วไปรวมทั้งด้านวัฒนธรรมด้วย

งานเมตตาจิตเป็นตราประทับการแพร่ธรรมของคริสตชน

๘. การแพร่ธรรมทุกชนิดย่อมมีกำเนิดและกำลังมาจากความรัก แต่งานบางอย่างมีลักษณะเหมาะที่จะเป็นเครื่องแสดงออกมาซึ่งความรักนี้เป็นพิเศษ พระคริสตเจ้า ทรงพอพระทัยให้งานแบบนี้เป็นเครื่องหมายชี้บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (เทียบ มธ.๑๑ : ๔-๕ )

บัญญัติที่สำคัญที่สุดในประมวลกฎหมายก็คือ ให้รักพระเป็นเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ กับรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง(มธ.๒๒ : ๓๗–๔๐) บัญญัติที่สั่งให้รักเพื่อนมนุษย์นั้นพระคริสตเจ้า ทรงเอามาตั้งเป็นบัญญัติของพระองค์เอง พระองค์ทรงบรรยายให้มีความหมายใหม่ พระองค์พอพระทัยรับความรักแบบนั้นโดยถือมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นพี่น้องของพระองค์เป็นตัวพระองค์เอง ตรงกับที่พระองค์ตรัสว่า “ ท่านทำสิ่งใดให้แก่พี่น้องที่ต่ำต้อยที่สุดของเราเหล่านี้คนใดคนหนึ่ง ก็เท่ากับทำให้เราเอง “ (มธ.๒๕ : ๔๐ ) เมื่อเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ พระองค์ทรงเอามนุษยชาติทั้งมวลมาร่วมสนิทกับพระองค์อย่างเหนือธรรมชาติ ซึ่งทำให้ชาติมนุษย์กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน พระองค์ทรงใช้ความรักเป็นเครื่องหมายบอกให้รู้ว่าใครเป็นศิษย์ของพระองค์โดยตร้ส่ว่า “ คนทั้งหลายจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา ก็โดยดูว่าท่านมีความรักต่อกันและกัน “ (ยน. ๑๓ : ๓๕ )

ในตอนเริ่มแรก พระศาสนจักร ให้คริสตชนกินเลี้ยงกัน (agape) พร้อมกับพิธีรับศีลมหาสนิทเป็นการแสดงว่าพระศาสนจักรทั้งหมดมาประชุมอยู่รอบ ๆ องค์พระคริสตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งความรัก ดังนั้น ในทุกยุคทุกสมัย พระศาสนจักร แสดงตนให้ทุกคนรู้จักด้วยเครื่องหมายแห่งความรักนี้เอง ทั้ง ๆ ที่แสดงความชื่นชมต่อความดำริริเริ่มของผู้อื่น พระศาสนจักรก็ไม่ยอมทิ้งงานเมตตาจิต โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งภารกิจของตนเองและเป็นสิ่งที่โอนให้แก่   ผู้อื่นไม่ได้ เพราะเหตุนี้ ความเมตตาต่อคนจนและคนเจ็บ กับงานที่เรียกว่างานเมตตาและงานสงเคราะห์ช่วยเหลือกันเพื่อบรรเทาความทุกขทรมานทุกชนิดของมนุษย์นั้นจึงเป็นที่ยกย่อง     เชิดชูเป็นพิเศษในพระศาสนจักร

ในปัจจุบัน งานเมตตาจิตเหล่านี้เป็นงานที่เร่งด่วนยิ่งกว่าแต่ก่อน และต้องขยับขยายให้กว้างออกไปทั่วโลก เพราะทางคมนาคมง่ายขึ้นและเร็วขึ้น มนุษย์เอาชนะเรื่องระยะทางไกลได้แล้วก็ว่าได้ คนทั้งโลกกลายเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ทุกวันนี้ งานเมตตาจิตสามารถไปและต้องไปให้ถึงมนุษย์ทุกคนและผู้มีความทุกข์เข็ญทุกชนิด ทุกแห่งที่มีคนทนทุกขทรมานเพราะขาดอาหาร ของดื่ม เสื้อผ้า ที่อยู่ หยูกยา งานการ การอบรม ปัจจัยสำหรับครองชีพที่เหมาะแก่สภาพมนุษย์อย่างแท้จริง ทุกแห่งที่มีคนประสบเหตุร้ายและโรคภัยเบียดเบียนอีกทั้งคนที่ถูกเนรเทศหรือถูกจำจอง ความเมตตาจิตของคริสตชนต้องไปเสาะและหา ให้กำลังใจเขาด้วยความเอาใจใส่อย่างกระตือรือร้นและบรรเทาเขาด้วยการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม พันธะที่กล่าวนี้ย่อมตกแก่คนและชนชาติต่าง ๆ ที่มีความสมบูรณ์พูนสุขก่อนใคร ๆ

เพื่อให้การประกอบเมตตาจิตเช่นนี้ไม่เป็นที่ระแวงสงสัยและปรากฏภายนอกว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เราต้องเห็นเพื่อนมนุษย์เป็นพระฉายาของพระเป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเขามาตามพระฉายานั้น  และต้องเห็นเพื่อนมนุษย์เป็นพระคริสตเจ้าของเราซึ่งอันที่จริง-เป็นผู้รับสิ่งต่าง ๆ ที่เราให้แก่คนจนนั่นเอง เราต้องเคารพความเป็นอิสระและศักดิ์ศรีของคนที่เราช่วยเหลืออย่างระมัดระวังที่สุด  อย่าให้เจตนาบริสุทธิ์ของเราแอบแฝงอยู่ด้วยการคิดหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือความปรารถนาที่จะมีอำนาจครอบงำเขา  ก่อนอื่นต้องทำตามที่ความยุติธรรมเรียกร้อง ด้วยกลัวว่าสิ่งที่ต้องให้เขาตามความยุติธรรมนั้น เราจะไปถือเป็นสิ่งให้ความเมตตาจิต  จงกำจัดมิใช่เฉพาะผลของความชั่วช้าเท่านั้น  แต่มูลเหตุของความชั่วช้าต่าง ๆ ด้วย และขอให้ทำการช่วยเหลือในแบบที่ผู้รับความเชื่อนั้นจะค่อย ๆ หลุดพ้นจากการต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นแล้วช่วยตัวเองได้

ฉะนั้น งานเมตตาจิตและการดำริริเริ่มต่าง ๆที่เกี่ยวกับงานสังคมสงเคราะห์  ฆราวาสต้องนิยมยกย่องเป็นอย่างสูง กับต้องช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ ไม่ว่ากิจการนั้นจะเป็นงานเอกชนหรืองานสาธารณะ และต้องช่วยเหลืองานที่ดำริริเริ่มระหว่างชาติด้วย  กิจการต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมุ่งจะช่วยเหลือคนและชนชาติที่ทนทุกข์ลำบากด้วยผลดีจริง ๆ ในเรื่องนี้ขอให้ฆราวาสร่วมมือกับคนที่มีน้ำใจดีทุกคน