1.(1)นี่เป็นสูตรที่ใช้ในเอกสารพระสังคายนาทุกฉบับ ตลอดจนในเอกสารสำคัญอื่น ๆ ของสมเด็จพระสันตะปาปา -แทนคำ : ทาสของพระเป็นเจ้า เราใช้ เทวทาส เพื่อความกระทัดรัด
(2)ธรรมนูญด้านการแพร่ธรรม เราใช้แปลคำ Constitutio Dogmatica คือธรรมนูญเกี่ยวกับพระธรรม หรือ คำสอน นั่นเอง.
(3)อคาธัตถ์ (อ่าน
อะคาทัด) เป็นคำที่ใช้ในหนังสืออธิบายคำสอน เป็นคำผูกขึ้นมาจาก อคาธ + อัตถ์ = อคาธัตถ์ หมายถึงข้อความลึกซึ้งที่คนเราหยั่งไม่ถึง. เราพิจารณาดูศัพท์ที่ใช้กันในสมัยหลัง ๆ นี้ว่า : รหัสธรรม, รหัสยธรรม ซึ่งแม้จะมีความหมายว่า ลี้ลับ, ลึกซึ้ง แต่ก็ยังใช้ว่า เป็นสิ่งที่ลี้ลับสำหรับบางคน แต่ไม่ลี้ลับสำหรับอีกบางคน เช่น รหัสของตู้นิรภัย, คนที่รู้รหัสแล้วมันไม่ลึกลับอีกต่อไป จึงไม่อาจนำมาแปลศัพท์ ลาติน กรีก Mysterium Musterion ได้. เพราะศัพท์นี้ใช้ความหมายว่าเป็นอัตถ์ลึกซึ้ง ซึ่งทีแรกเราไม่รู้ว่ามีอยู่ แต่ต่อมา เมื่อพระเป็นเจ้าโปรดไขแสดงแล้ว เราก็ทราบว่ามีอยู่ แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร.
(4)ศักดิ์สิทธิการ หมายความว่า
ผู้ทำความศักดิ์สิทธิ์ เรานำศัพท์ใหม่นี้มาใช้แทนคำ ศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นคำใช้กันมาแต่โบราณ เราจำใจต้องเปลี่ยน เพราะมิฉะนั้นจะไม่มีใครเข้าใจความหมายของเอกสารในที่นี้ ที่ว่า พระศาสนจักรเป็นประหนึ่งศีลศักดิ์สิทธิ์ ศีลศักดิ์สิทธิ์ = บัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์, แต่ศัพท์ลาติน Sacramantum หมายความถึงเครื่องหมายชี้แสดง ทั้งเป็นเครื่องมือผลิตพระหรรษทาน. เราเห็นคำว่า ศักดิ์สิทธิ์ ที่คริสตังเราใช้มาแต่โบราณ หมายถึงความดีบริบูรณ์, ความครบครัน จึงคิดว่าหากจะเปลี่ยนจากศีลศักดิ์สิทธิ์มาเป็นศักดิ์สิทธิการ คงจะยอมรับกันได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นในเอกสารฉบับนี้เราใช้คำศักดิ์สิทธิการ แทนคำศีลศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งเล่ม. แต่ขอพูดความจริงอย่างเปิดอก เราเองก็ไม่สู้ชอบคำ ศักดิ์สิทธิ์ ในความหมายดังกล่าว เพราะทั่ว ๆ ไป ใคร ๆ ก็ใช้คำ ศักดิ์สิทธิ์ ในความหมายว่า ขลัง หรือที่ทำให้เกิดอัศจรรย์มาก ๆ ตรงกับคำฝรั่งลาตินว่า Miraculosum ที่สุด หากจะแยกแยะคำ ศักดิ์สิทธิ์ นี้ ไปจนถึงธาตุของศัพท์ก็เห็นว่า ประกอบขึ้นด้วยคำ 2 คำ คือ - ศักดิ ส. แปลว่า อำนาจ และคำว่า สิทธิ ที่เรานำมาใช้ว่า : มีอำนาจที่จะทำ จะใช้โดยไม่ผิดความยุติธรรม. คำที่เหมาะกว่าและควรนำมาใช้แทนคำ Sacramentum เราเห็นว่าควรเป็นคำ วิสุทธิการ เป็นอย่างยิ่ง.
(5)นักบุญปิตาจารย์
(ปิตุ อาจารย์) คำนี้เราใช้เรียกนักบุญอาจารย์พระศาสนาในสมัยโบราณ ซึ่งภาษาลาตินเรียกว่า Sancti Patres. ส่วน พระบิดร เราใช้เรียกองค์สมาชิกในสภาพระสังคายนา, ลาตินเรียกว่า Patres โดด ๆ
3.(6)ราชัย
= Regnum เป็นธาตุเดียวกันในภาษาอินเดีย ยุโรป ทั้งเป็นคำบันทึกอยู่ในพจนานุกรมของทางการด้วย เรายอมรับว่าธาตุของคำนี้ในภาษาสันสกฤตไม่น่าจะออกมาในรูปราชัยเพราะ ส. เป็น ราช.ย, มันก็เช่นเดียวกับ มาล.ย ภาษาไทยเรามาเป็นมาลัย. อนึ่งคำ ราชัย นี้ คริสตังเราก็ใช้มาจนติดปากแล้ว : ตรงกับภาษายุโรป, สั้นและกระทัดรัดดี ทำไมจะต้องมาเปลี่ยนเป็น อาณาจักร ซึ่งส่งกลิ่นเป็นภาษาทางโลกมากกว่าภาษาทางศาสนา.
(7)สวามี
= Dominus. เรามาถึงคำที่ถกเถียงกัน และเป็นที่รังเกียจของหลาย ๆ ท่าน. ขออนุญาตพูดถึงเรื่องนี้ให้กว้างขวางสักหน่อย. ครั้งแรกราว 60 กว่าปีมาแล้ว ข้าพเจ้าได้พบคำนี้ในบทภาวนาก่อนรับศีลมหาสนิทว่า : ข้าแต่พระสวามีเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมไม่ควรที่จะรับพระองค์เสด็จเข้ามาในดวงใจของข้าพเจ้า แต่โปรดตรัสแต่พระวาจาเดียว และวิญญาโณจิตต์ของข้าพเจ้าก็จะสะอาดบริสุทธิ์ไป ข้าพเจ้าเคยรู้สึกสะดุดใจและเคยพูดกับ ฯพณฯ อ่อน ประคองจิตต์ ท่านและข้าพเจ้าต่างก็เห็นพ้องกัน นึกชมคนที่นำคำนี้มาใช้ (ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร.) ครั้งเปิดปทานุกรมก็พบว่า : สวามิ, สวามี ส.น.เจ้า, ผู้เป็นใหญ่, นาย, ผัว, เจ้าของหญิงใช้สวามินี. เมื่อเปิดดู Pali English Dictionary ของ T.W. Rhys Davids ซึ่งถือกันว่าเป็น Dictionary ที่ดีที่สุดของสมัยนี้ก็พบว่า : Samin (cp. Sk. Savamin, Sva = Sa 4 ) 1. Owner, Ruler, Lord, Master ธาตุ สวาสา, ตรงกับธาตุ ลาติน Sui, Suus ซึ่งการแสดงการเป็นเจ้าของ. ภาษาไทยเราจึงมีคำ สามิภักดิ์ = ความรักต่อเจ้านาย สรรพสามิต แปลว่าอะไรหากไม่แปลว่า หลวงเป็นเจ้าของสรรพสิ่ง. ต่อภายหลังเมื่อมีเจ้านายต่างประเทศมาเยี่ยมประเทศไทย นักหนังสือพิมพ์จึงแทนจะใช้คำ สามี ก็ใช้คำ สวามี (แบบสันสกฤต) เฉพาะอย่างยิ่งแทน Prince Cinsort. แม้ บ.ส. จะใช้ในใจความนี้ด้วย ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นแปลกอะไร เพราะคำพระสวามีนี้ เราใช้แทนพระเยซูเจ้าเป็นต้น แทนพระบิดาก็มีบ้าง. พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระสามี (สวามี) ทางวิญญาณของเราอยู่แล้ว. - - โปรดอย่าแปลกใจที่คำในภาษาต่าง ๆ ค่อย ๆ เลือนไป มีความหมายต่างออกไป ชาวอินเดียเขาถือว่าสามีเป็นนายของภรรยา. ภาษายุโรป กลุ่มภาษาโรมาน ใช้ศัพท์แทน Dominus ว่า ; Seigneur, Signor Senor ซึ่งมาจากภาษาลาติน Senior แปลว่า ผู้มีอายุสูงกว่า (กระทั่งคำ Sir, Sire ก็มาจากคำลาตินนี้.) คำอังกฤษใช้คำว่า Lord ท่านทราบไหมว่า คำนี้มาจากไหน. Skeat ใน Concise Etymological Dictionar of the English Language
เขียนว่า :
Lord, a master (E.) Lit Loaf keeper. ขอยกตัวอย่างขำ ๆ เรื่องหนึ่ง. พระสันตะปาปา ปีโอที่ 12 คราวเมื่อทรงตำแหน่งเป็น พระเอกอัครสมณทูตที่กรุงเบอร์ลิน ขณะจะต้องจากหน้าที่ เพราะคุ้นเคยกับทูตฝรั่งเศสจึงได้ไปอำลา เมื่อได้สนทนาวิสาสะกันพอสมควรแล้ว ท่านก็ลากลับ ผ่านลูกชายของท่านทูตที่มีอายุ 4-5 ขวบ เด็กคนนั้นก็พูดกับท่านว่า Au revoir mon Vieux ท่านทูตกับภรรยาหน้าซีดยืนตัวแข็ง แต่ค่อยอุ่นใจขึ้น เมื่อพระสมณทูตทำเฉย เดินไปขึ้นรถ. ท่านอยากทราบไหม เด็กลูกทูตนั้นพูดว่าอะไร ? พูดว่า ลาก่อนอ้ายแก่ = อ้ายเพื่อนยาก ซึ่งเป็นภาษาทหาร. ท่านจึงเห็นแล้วในภาษาฝรั่งเศส จาก ล. Senior มาเป็น Seigneur, Monsieur, Sire และวกกลับอีกที มาเป็น Vieux ทำไมภาษาไทยของเรา จะมีภาษาทางศาสนา เหมือนภาษาอื่นเขาบ้างไม่ได้ ?
(8)สดุดีบูชา
= Eucharistia คำลาติน กรีกคำนี้ ในหนังสือคำอธิบายคำสอนใช้ว่า สุหรรษทาน ซึ่งมีความหมายว่าพระหรรษทานอันดี, อันประเสริฐ. แต่ศัพท์ลาติน กรีกนั้น เขาใช้ความหมายถึง การขอบคุณ ข้าพเจ้าจึงค้น Dictionary Pali English ของ A.P.Buddhatta Mahathera ก็พบคำบาลีที่ถูกใจคือคำ ถูติปูชา แปลว่า การถวายคำชมเชย, คำขอบคุณ แต่คำนี้ไม่คุ้นหูคนไทย บ.ถูติ ส.สตุติ ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนให้พอฟังได้ในภาษาไทย = สดุดีบูชา.
สังเกต
: ขอให้คงรักษาลำดับสดุดีบูชาไว้เสมอ อย่าเปลี่ยนเป็นสดุดีบูชา ทั้งนี้เพราะว่าสดุดีบูชานี้อาจเป็นบูชาถึง 4 อย่าง คือ บูชาสรรเสริญ, บูชาวอนขอพระคุณ, บูชาขอบพระคุณ และ บูชาขอขมาโทษ
|