39. สภาพระสังคายนาสากล นำเอาพระอคาธัตถ์ของพระศาสนจักรมาตีแผ่ให้เห็น.
ชาวเราเชื่อว่าพระศาสนจักรเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างจะขาดเสียมิได้. เพราะด้วยว่าพระคริสตเจ้าพระบุตรของพระเป็นเจ้า พระองค์ท่านพร้อมกับพระบิดาและพระจิต ได้ทรงรับคำเทิดทูนสรรเสริญว่า เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แต่ผู้เดียว พระองค์ได้ทรงรักปฏิพัทธิ์พระศาสนจักร ถือเอาเป็นภริยาของพระองค์ท่านเอง, ได้ทรงมอบพระองค์ท่านแก่พระศาสนจักร เพื่อบันดาลให้ตัวท่านศักดิ์สิทธิ์ (เทียบ อฟ. 5,25-26), ได้ทรงนำเอาพระศาสนจักรมาแนบติดกับพระองค์ท่าน จนกระทั่งเป็นร่างกายของพระองค์, พร้อมทั้งโปรดได้พระศาสนจักรประกอบอยู่ด้วยทานต่าง ๆ ของพระจิตเจ้าอย่างอุดมเปี่ยมล้น ทั้งนี้เพื่อเกียรติมงคลแด่พระเป็นเจ้า. เพราะฉะนั้นทุก ๆ คนในพระศาสนจักร, ทั้งผู้สังกัดอยู่ในพระฐานานุกรม, ทั้งผู้รับเลี้ยงดูจากพระฐานานุกรม, ทุกคนไม่เว้นใครเลย ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาสู่ความศักดิ์สิทธิ์, ทั้งนี้เป็นไปตามวาจาของท่านอัครสาวกว่า : น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าคือ ให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ (1 ธส. 4,3 ; เทียบ อฟ. 1,4). ความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรอันนี้ เผยตัวออกมาด้วยผลานุผลของพระหรรษทาน ที่พระจิตเจ้าทรงผลิตขึ้นในตัวสัตบุรุษ, ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอมิได้ขาด และก็จำเป็นต้องปรากฏออกมาด้วย. การปรากฏให้เห็นนั้นเป็นไปโดยแบบต่าง ๆ กัน สุดแต่สัตบุรุษแต่ละคนจะพยายามตามระบบการดำเนินชีพของแต่ละคน เพื่อไปสู่ความครบครัน, เขาแสดงตัวของเขาให้ปรากฏตามทำนองของเขาเองก็ว่าได้ในการปฏิบัติตามคำตักเตือน ที่เคยเรียกกันว่า คำแนะนำแห่งพระวรสาร การปฏิบัติตามคำแนะนำแห่งพระวรสารนี้ พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้กระตุ้นเตือน, คริสตชนเป็นอันมาก จึงได้รับมาปฏิบัติ, ตามทำนองส่วนตัวของเขาเองบ้าง, บ้างก็ไปเข้าอยู่ในกฎเกณฑ์หรือเข้าอยู่ในสถานะที่พระศานจักรกำหนดตั้งไว้, ผลก็คือเขาไขแสดง, และจำเป็นต้องไขแสดงเป็นการยืนยันและเป็นแบบอย่างแห่งความศักดิ์สิทธิ์อันนั้น ๆ ให้ประจักษ์เห็นได้แจ่มกระจ่าง.
|