33. ฆราวาสทั้งหลาย รวมกันเป็นประชากรของพระเป็นเจ้า
เขาสังกัดอยู่ในพระคริสตวรกายอันเดียว โดยมีศีรษะเดียว, ทั้งนี้ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม, เขามีกระแสเรียก. ในฐานะเป็นอวัยวะที่มีชีวิต, ให้นำเอาพลกำลังทั้งหมดที่เขาได้รับมาจากพระเมตตาคุณแห่งพระผู้สร้าง และจากพระหรรษทานแห่งพระผู้ไถ่, ให้เขานำมาใช้เพื่อความเจริญก้าวหน้า และเพื่อการประสาทความศักดิ์สิทธิ์อันเนืองนิตย์ของพระศาสนจักร.
การแพร่ธรรม (62)
ของพวกฆราวาส คือ การมีส่วนในภารกิจประสาทความรอดพ้นของพระศาสนจักรนั่นเอง. พระสวามีเจ้าพระองค์ท่านเอง ได้ทรงแต่งตั้งทุก ๆ คนให้ทำหน้าที่แพร่ธรรมโดยทางศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาป และศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ และเฉพาะอย่างยิ่งพระสดุดีบูชา ประสาทและบำรุงเลี้ยงความรักต่อพระเป็นเจ้าและความรักต่อมนุษย์ อันความรักนี้แหละคือวิญญาณ (หัวหน้า) ของการแพร่ธรรมทั้งหมด ฆราวาสได้รับเรียกอย่างพิเศษทีเดียว ให้ธำรงความเป็นอยู่ และการงานของพระศาสนจักรในสถานที่และในกรณีแวดล้อม, ในสถานที่ที่พระศาสนจักรจะกลายเป็นเกลือดองแผ่นดินได้ ก็เฉพาะโดยทางฆราวาส, นี่แหละ ฆราวาสทุก ๆ คน เนื่องจากทานต่าง ๆ ที่เขาได้รับ, เขาจึงเป็นพยานทั้งในขณะเดียวกันเขาก็เป็นอุปกรณ์อันมีชีวิตแห่งภารกิจของพระศาสนจักรนั่นเอง ทั้งนี้ ตามมาตราส่วนของของประทานจากพระเป็นเจ้า (อฟ. 4,7).
นอกจากการแพร่ธรรม อันเป็นหน้าที่ของคริสตชนทุก ๆ คน,
ไม่มีเว้นใครเลยแล้ว, ยังมีกรณีอื่น ๆ อีก ที่อาจนำฆราวาสมารับใช้ร่วมมือใกล้ชิดยิ่งขึ้น ในการแพร่ธรรมของพระฐานานุกรมอีกด้วย, เป็นไปอย่างทางบุรุษและสตรีที่ได้ช่วยเหลือ ท่านอัครสาวกเปาโล, ในหน้าที่ประกาศพระวรสาร, ในครั้งนั้นเขาได้เสียสละ ออกแรงทำการงานเพื่อพระสวามีเจ้าเป็นอันมาก (เทียบ อฟ. 4,3 : รม. 12,3
) นอกนั้น ฆราวาสยังมีความสามารถเหมาะสมกับหน้าที่ของพระศาสนจักรด้วย, เป็นหน้าที่ของฐานานุกรมที่จะนำฆราวาสมาใช้ปฏิบัติงาน เพื่อจุดประสงค์ทางวิญญาณด้วย.
เพราะฉะนั้น ฆราวาสทุก ๆ คน จึงมีภาระอันสูงศักดิ์บังคับให้เขาออกแรงทำงานเพื่อบรรลุความประสงค์ของพระเป็นเจ้าโดยนำเอาความรอดไปสู่มนุษย์ทุก ๆ คน,
ทุก ๆ สมัย, ทุก ๆ แห่งหน, และยิ่งวันยิ่งมากขึ้น. ฉะนั้น จึงต้องเปิดทางทุก ๆ ด้านให้พวกฆราวาสเองเข้ามาร่วมมือทำการงานตามพละกำลังของเขา และตามความจำเป็นของกาลเวลา ในภารกิจของพระศาสนจักรเอง กล่าวคือ งานบันดาลความรอดพ้น โดยอาศัยพวกฆราวาสร่วมมือลงแรงด้วย.
|