|
6.
ในพันธสัญญาเดิม (พระธรรมเก่า) การไขแสดงเรื่องพระราชัย มักแสดงออกเป็นรูปภาพจำลองต่าง ๆ ฉันใดก็ฉันนั้นในขณะนี้ ธรรมชาติภายในอันลึกล้ำของพระศาสนจักรก็ปรากฏให้เราเห็นโดยอาศัยภาพจำลองหลายอย่างต่างกันด้วยเหมือนกัน, เช่น ภาพชีวิตคนเลี้ยงแกะ, ภาพชีวิตกสิกร (คนทำไร่ทำนา) หรือภาพการสร้างบ้านเรือน, หรือกระทั่งภาพจากครอบครัว, จากการแต่งงาน, ภาพต่าง ๆ เหล่านี้มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ของบรรดาประภาษก (11) เป็นการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว.
อันที่จริง
พระศาสนจักร คือ คอกแกะ ซึ่งมีพระคริสตเจ้าเป็นทางเข้า (= ประตู) แต่ทางเดียว ทั้งเป็นทางที่จำเป็น (ยน. 10,1-10). พระศาสนจักรยังเปรียบได้กับ ฝูงแกะ ที่พระเป็นเจ้าได้มีพระดำรัสไว้ล่วงหน้าไว้ว่า : พระองค์เองจะเป็นชุมพาบาล (= คนเลี้ยงแกะ) (เทียบ อสย. 40,11; อสค. 34,11
) แกะของพระศาสนจักรนี้ แม้มีมนุษย์เป็นคนเลี้ยง และปกครอง ถึงกระนั้นผู้ที่แนะนำมันอยู่เสมอ และผู้ที่เลี้ยงดูมันก็คือ พระคริสตเจ้าเอง, พระองค์ทรงเป็นชุมพาบาลที่ดี ทั้งเป็นเจ้านายของชุมพาบาลทั้งหลาย (เทียบ ยน. 10,11; 1 ปต. 5,4), พระองค์ คือ ผู้ที่ได้พลีชีวิตเพื่อฝูงแกะของพระองค์ (เทียบ ยน. 10,11-15)
พระศาสนจักรเป็นที่ดินเกษตรกรรม
หรือเป็นทุ่งนาของพระเป็นเจ้า (1 คร. 3,9) ที่ทุ่งนานี้มีต้นมะกอกเก่าแก่ขึ้นอยู่ มีบรรดาอัยกา (12) เป็นรากเง่าอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน, โดยต้นมะกอกนี้แหละ ประชาชนชาวยิว และชนต่างชาติได้รับ และจะรับการคืนดีกับพระ (รม. 11,13-26). ต้นมะกอกนี้ กสิกรชาวสวรรค์ได้ทรงปลูกไว้, ท่านเองเป็นสวนองุ่นที่คัดเฟ้นไว้ (มธ. 12,33-43 par = (เทียบ ควบ); เทียบ อสย. 5,1 ต่อ ๆ ไป). ต้นองุ่นแท้คือ พระคริสตเจ้า, พระองค์คือ ผู้ประสาทชีวิตและอำนาจผลิตผลแก่กิ่งก้าน หมายความถึงชาวเราเอง, โดยทางพระศาสนจักรเราดำรงอยู่ในพระองค์, และหากปราศจากพระองค์ ชาวเราก็ทำอะไรไม่ได้เลย (ยน. 15,1-5)
หลายต่อหลายครั้ง
ยังเรียกพระศาสนจักรว่าเป็นดัง การสร้างบ้าน ของพระเป็นเจ้า (1 คร. 3-9). พระสวามีเจ้าเองทรงเปรียบพระองค์เป็นดังศิลา ที่ผู้สร้างเอาทิ้ง แต่กลับเป็นศิลามุม (ศิลาเอก) (มธ. 21,42
เทียบ กจ. 4,11; ปต. 2,7; สดด. 117,22). บนรากฐานอันนี้ของพระศาสนจักร พวกอัครสาวกได้สร้างขึ้น (เทียบ 1 คร. 3,11), จากหินก้อนนี้ พระศาสนจักรได้รับความมั่นคง และความเป็นปึกแผ่น, ผลิตกรรมการสร้างอันนี้ได้รับเกียรตินามหลายอย่าง เช่น เคหะของพระเจ้า (1 ทม. 3,15), ในเคหะนั้น ครอบครัวของพระองค์ท่านเองพำนักอยู่, เรียกพระศาสนจักรว่า เป็น พลับพลาของพระเป็นเจ้าในพระจิตเจ้า (อฟ. 2,19-22), เป็นพลับพลาของพระเป็นเจ้าอยู่ร่วมกันมวลมนุษย์ (วว. 21,3), และเฉพาะอย่างยิ่งเรียกว่า : วิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบรรดานักบุญปิตาจารย์ (13) กล่าวชม, วาดภาพเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นด้วยศิลาและในพิธีกรรมก็วาดเป็นภาพอย่างเหมาะเจาะ ว่าเป็น นครศักดิ์สิทธิ์, เป็น กรุงเยรูซาเลมใหม่. เหตุว่าในนครแห่งนี้ชาวเราถูกสร้างขึ้นบนแผ่นหินเป็น ๆ (หินที่มีชีวิต) (1 ปต. 2,5). นครศักดิ์สิทธิ์นี้เมื่อยอห์นพิศดู คราวโลกถูกปฏิรูปขึ้นใหม่ ท่านกล่าวว่า เป็นนครมาจากสวรรค์ พระเป็นเจ้าเองทรงตกแต่งให้คล้ายกับเจ้าสาว (14) แต่งองค์คอยต้อนรับพระภัสดาของตน (วว. 21,1 ต่อ ๆ ไป)
พระศาสนจักรยังได้ชื่อว่า : กรุงเยรูซาเลมเบื้องบน และ พระชนนีของชาวเรา (กล. 4,26; เทียบ วว. 12,17), มีคำวรรณนาถึงพระศาสนจักรว่า : ท่านเป็นเจ้าสาว (14) นิรมลของพระชุมพาน้อยนิรมล (วว. 19,7; 21,2-9; 22,7), เธอเป็นผู้ที่พระคริสตเจ้าทรงรัก และมอบพระองค์ท่านเองเพื่อเธอ หวังจะยังให้เธอศักดิ์สิทธิ์ (อฟ. 5,26), พระองค์ทรงรับเธอเป็นคู่ครองของพระองค์ด้วยคำมั่นสัญญาอันมิรู้แตกสลาย และทรงเลี้ยงดูเกื้อกูลเธอ (อฟ. 5,26) เสมอเป็นนิตย์มิได้ขาด และเมื่อเธอบริสุทธิ์หมดจดแล้ว พระองค์ทรงประสงค์ให้เธอมาสนิทชิดเชื้อกับพระองค์และให้เธอมอบตนอยู่ในควาเสน่หาอันซื่อสัตย์ (เทียบ อฟ. 5,24). ที่สุดพระองค์ทรงประสาทให้เธอเพียบพูนด้วยพรานุพรสวรรค์เรื่อยไปตลอดนิรันดร ทั้งนี้เพื่อให้ชาวเรารู้ซาบซึ้งถึงความรักเสน่หาของพระเป็นเจ้า และของพระคริสตเจ้าต่อชาวเรา ความรักเสน่หาอันนี้อยู่เหนือความรู้เข้าใจใด ๆ ทั้งสิ้น (เทียบ อฟ. 3,19). ระหว่างที่พระศาสนจักรระเหหนอยู่ในโลกนี้ ห่างไกลจากพระเป็นเจ้า (เทียบ 2 คร. 5,6), ท่านถือตนเป็นผู้ถูกเนรเทศ, จนกระทั่งท่านขวนขวายหา และลิ้มรสสิ่งที่อยู่เบื้องบน, ณ ที่นั้นแหละชีวิตของพระศาสนจักร หลบซ่อนอยู่ร่วมกับพระคริสตเจ้าในพระเป็นเจ้า, ทั้งนี้จนกว่าท่านจะปรากฏตัวในเกียรติมงคลพร้อมกับพระภัสดาของท่าน (เทียบ คล. 3,1-4)
|
|